รายงานพิเศษ : ฝ่าวิกฤติเกมชิงอำนาจ ปลดล็อคทางตัน เปิดทาง “รัฐบาลแห่งชาติ” ?
พลันที่ “เทพไท เสนพงศ์” ว่าที่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาประกาศสนับสนุนให้ทุกขั้วการเมือง “จับมือ“ ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลปรองดอง “จุดพลุ“ 4 บุคคลสำคัญตั้งแต่ “พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท” องคมนตรี “พลากร สุวรรณรัฐ” องคมนตรี “ศุภชัย พานิชภักดิ์” อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนาหรือ “ชวน หลีกภัย“ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำหน้าที่ “นายกฯคนกลาง” ใน 2 ปีเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และแก้รัฐธรรมนูญนำไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง
กลายเป็นการ “โยนหินถามทาง” จากข้อเสนอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อก้าวข้าม “เดดล็อก“ ที่รออยู่ข้างหน้า ผ่านช่องทางรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 วรรคสอง ด้วยการเลือก “นายกฯนอกบัญชี” ที่พรรคการเมืองเสนอ เริ่มตั้งแต่ ส.ส. 250 คนเข้าชื่อเสนอให้ไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯ จากที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ จากนั้นให้เสียงทั้ง “รัฐสภา” ซึ่งมาจาก ส.ส.และ ส.ว. จำนวน 2 ใน 3 หรือประมาณ 500 เสียง ลงมติอนุมัติให้เลือกนายกฯคนนอก ไปฟอร์มรัฐบาลแห่งชาติ โดยผ่านเสียงสนับสนุนจากทุกกลุ่ม เพื่อ “ผ่าทางตัน” ให้ทุกขั้วอยู่ในรัฐบาลร่วมกันในวาระพิเศษ
ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ หลายฝ่ายพุ่งเป้าไปที่เงื่อนไขสำคัญ ภายหลัง 9 พ.ค. ที่คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ประกาศผลเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. อย่างเป็นทางการ เพราะทุกตัวเลข ส.ส.ของแต่ละพรรคการเมือง จะเป็นตัว “ชี้ขาด” สถานการณ์ต่อการเจรจา–ต่อรองร่วมรัฐบาล แต่ไม่ว่าฝ่ายใดจะรวบรวมเสียงได้แค่ไหน แต่ยังเชื่อว่าตัวเลข ส.ส.ที่ถูกรวบรวมเข้ามา ยังอยู่ในกลุ่ม “เรดโซน“ เสียงปริ่มน้ำ ซึ่งจะมีผลต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เริ่มตั้งแต่การพิจารณาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งจะเป็นเวทีแรกต่อการลงคะแนนเสียง “ระทึกใจ” ต่อความเป็นไปของรัฐบาลในชุดหน้า
ทว่าล่าสุดเสียงจาก “พลังประชารัฐ–เพื่อไทย” ซึ่งกุมเสียงส.ส.ไว้มากที่สุด เหนือพรรคการเมืองอื่น ได้ออกมาคัดค้านแนวคิดนี้ โดยเฉพาะฝั่ง “พปชร.” ยืนยันว่าไม่ว่ามิติไหน “รัฐบาลแห่งชาติ” ยังไม่จำเป็น แต่ขอเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “ปกติ” เท่านั้น
ทั้งนี้ หากมองข้อเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ“ ไม่ใช่เรื่องใหม่และไม่ใช่ครั้งแรก เพราะประเทศไทยเคยอยู่ในภาวะ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” มาแล้ว ทำหน้าที่บริหารแผ่นดินโดยไม่มีฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ อาทิ รัฐบาลหลังการรัฐประหาร แต่ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 106 เขียนไว้ชัดเจนเกี่ยวกับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านว่า “ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้วพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจํานวนสมาชิกมากที่สุดและสมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร”
ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวที่พรรค “อนาคตใหม่“ เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2562 ว่าหากเกิดกรณีจัดตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ“ ที่รวบรวมทุกพรรคการเมืองเข้าด้วยกัน พรรคอนาคตใหม่พร้อมทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน“ ไม่ใช่เพียงเพราะว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 106 บังคับให้ต้องมีผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แต่ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา จำเป็นต้องมีฝ่ายค้านตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลด้วย
ขณะที่เสียงจาก “ชาติชาย ณ เชียงใหม่“ อดีตคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ถึงข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติอาจเป็นไปได้ยากมาก หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีฝ่ายตรวจสอบถ่วงดุล ระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลคอยทำหน้าที่อยู่ในสภา แต่รัฐบาลแห่งชาติ จะเกิดขึ้นได้ต้องมี “วิกฤต” ทางการเมืองที่ร้ายแรง และจำเป็นเร่งด่วน อาทิ ภาวะสงครามซึ่งต้องใช้การระดมสมองจากทุกพรรคในสภา ที่สำคัญ “เงื่อนไข” ทางการเมืองขณะนี้ ยังไม่มีเหตุและความจำเป็นในการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
ถึงนาทีนี้หลายฝ่ายกำลังเฝ้ามองไปถึง “จุดเปลี่ยน” ที่เป็นตัวแปรนำไปสู่วงเจรจาพิเศษ หากเกิดภาวะ “ทางตัน” เพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะ เปิดทางให้ประเทศเดินไปข้างหน้า แต่ภายหลังวันที่ 9 พ.ค.จาก “สูตร” คำนวณทส.ส.บัญชีรายชื่อที่ออกมา จะถูกนำสรุปตัวเลขส.ส.เขตให้แต่พรรคนั้น จะเป็นตัว “กำหนด” สถานการณ์ให้พรรคการเมือง นำไปสร้าง “เงื่อนไขใหม่” เพื่อต่อรองในเกมชิงอำนาจที่ยังไม่จบสิ้น