ศาลฎีกา ยืนยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี บริษัทไร่ส้ม ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา เหตุฟ้องซ้ำกับคดีหลักที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง
5 ก.ย. 2562 ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.1748/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการฯ, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 53 ปี อดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง, น.ส.มณฑา ธีระเดช อายุ 46 ปี เจ้าหน้าที่บริษัทไร่ส้มฯ และนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต อายุ 50 ปี อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้หรืออ้างเอกสารสิทธิปลอมเพื่อปกปิดกระทำความผิดของตนอันเป็นการทำให้เกิดความเสียหาย และร่วมกันฉ้อโกง
คดีนี้อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2559 สรุปว่า ประมาณกลางเดือน ก.ค. 2549 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันนำเอกสารใบคิวโฆษณารายการคุยคุ้ยข่าว ระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ค. 2549 จำนวน 139 แผ่น ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิที่จำเลยร่วมกันทำปลอมขึ้น ไปใช้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท จำกัด เพื่อเป็นหลักฐานในการโฆษณา และคิดค่าโฆษณาส่วนเกินในรายการคุยคุ้ยข่าว ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ บมจ.อสมท หลงเชื่อว่าเอกสารใบคิวโฆษณานั้นเป็นเอกสารจริง ทำให้ บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 1 ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา หรือเสียค่าโฆษณาส่วนเกินน้อยกว่าความเป็นจริง การกระทำดังกล่าวทำให้ บมจ.อสมท ได้รับความเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในคดีนี้เป็นความผิดตามที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.313/2558 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแล้ว จึงเป็นการฟ้องซ้ำ และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากมีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.595/2559 แล้ว สิทธิการนำคดีอาญาของโจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้จึงระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้อีก ให้จำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ศาลรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ซึ่งไม่ใช้การฟ้องซ้ำกับคดีที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว แต่เป็นการกระทำผิดแยกอีกกรรมหนึ่ง ที่จำเลยได้ใช้น้ำยาลบคำผิดลบข้อความการรายงานโฆษณาส่วนเกินในเอกสาร เพื่อทำให้จำเลยทั้งสี่ได้รับประโยชน์จากการใช้เอกสารนั้นยื่นกับ บมจ.อสมท. ผู้เสียหาย
ในวันนี้ อัยการโจทก์และนายสรยุทธ จำเลยที่ 2, น.ส.มณฑา จำเลยที่ 3 และนางพิชชาภา จำเลยที่ 4 มาศาลพร้อมทนายความ
ศาลฏีกาพิพากษาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว ให้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ เนื่องจากเห็นว่าคดีที่อัยการโจทก์ฟ้องศาล คดีปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น มีเจตนามุ่งหมายแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดเกี่ยวกับเอกสาร เพื่อปกปิดความผิดของจำเลยทั้งสี่ที่ได้ร่วมกันไม่แจ้งข้อมูลที่เป็นการโฆษณาที่เกินเวลา ที่จำเลยที่ 4 ได้รับเงินค่าตอบแทนจากจำเลยที่ 1-3 อันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดของเจ้าพนักงานในองค์กรรัฐฯ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ดังนั้นที่อัยการฟ้องในคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องซ้ำที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาเช่นนี้แล้ว คดีปลอมเอกสารสิทธินี้ถือเป็นที่สุดแล้ว ส่วนคดีที่จำเลยทั้งสี่ถูกยื่นฟ้องความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดของเจ้าพนักงานในองค์กรรัฐฯ นั่นคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้จำคุกนางพิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท เป็นเวลา 20 ปี ส่วนนายสรยุทธ์และ น.ส.มณฑา พนักงาน บมจ.ไร่ส้ม ให้จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ส่วน บจก.ไร่ส้มให้ปรับ 8 แสนบาท ซึ่งทั้งหมดได้ประกันตัวระหว่างฎีกาคนละ 5 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายสรยุทธ์ฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้นได้เดินทางกลับทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ทั้งนี้นายสรยุทธ์มีสีหน้าที่ดูตึงเครียดก่อนขึ้นรถยนต์ส่วนตัวกลับไป
ติดตามข่าวสาร Bright Today