อย.แจงร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ ยันไม่เอื้อนายทุน เปิดร้านขายยาโดยไม่มีเภสัชกรไม่ได้ ส่วนคลินิกอื่น ๆ ให้เพียง 3 วิชาชีพเดิมจ่ายยาได้เท่านั้น เผยแจงสภาเภสัชฯ เข้าใจตรงกัน เตรียมหารือกฤษฎีกาโยกมาตราเจ้าปัญหาไปไว้บทเฉพาะกาล
จากกรณีนายกสภาเภสัชกรรมออกมาเปิดเผยถึงร่าง พ.ร.บ. ยา พ.ศ. … ฉบับยื่นคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยระบุว่า มีการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่เคยหารือร่วมกันในกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรา 24 (3) และ มาตรา 25 (6) ที่อาจเปิดช่องให้นายทุนสามารถเปิดร้านยาหรือร้านยาสะดวกซื้อแบบเดียวกับร้านยา ขย.2 ที่ไม่ต้องมีเภสัชกรประจำร้าน เพียงผ่านการอบรมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมาตรา 117 ให้คลินิกเอกชนทั้งหมดสามารถจ่ายยาโดยไม่ต้องมีเภสัชกรได้นั้น
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ. ยา ฉบับดังกล่าว ยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก ซึ่งเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการหารือและชี้แจงประเด็นปัญหาดังกล่าวร่วมกับนายกสภาเภสัชกรรม ตัวแทนชมรมเภสัชสาธารณสุขจังหวัดแห่งประเทศไทย และชมรมเภสัชสาธารณสุขแห่งประเทศไทยแล้ว พบว่าต่างมีเจตนารมณ์ในการที่จะออกกฎหมายตรงกัน เพียงแต่เป็นเรื่องของเทคนิคการเขียนที่อาจทำให้เข้าใจความเคลื่อนหรือแปลความหมายผิดไป
สำหรับประเด็นเรื่องร้านขายยา ขย.2 ที่ไม่ต้องมีเภสัชกรประจำร้าน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2,800 ร้าน เห็นตรงกันว่า จะไม่มีการเปิดเพิ่ม และจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเดิมเสียชีวิตไป ซึ่งระบุไว้ในบทเฉพาะกาลมาตรา 228 ส่วนที่มีการเขียน ม.24 (3) ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ผ่านการอบรม และ ม.25(6) เรื่องใบอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือใบสั่งยา เป็นการเขียนเพื่อรองรับสถานะทางกฎหมายของร้านขายยา ขย.2 จากที่ได้หารือกับทางอัยการ เพราะหากเขียนแยกกันทำให้อาจเข้าใจผิดได้ว่า จะทำให้มีการเปิดร้านขายยาแบบเดียวกับ ขย.2 เพิ่มอีก แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการอนุญาตให้เปิดเพิ่ม ซึ่งเบื้องต้นหารือว่า อาจจะตัด ม.24 (3) และ ม.25 (6) ไปอยู่ในบทเฉพาะกาลเพื่อให้เข้าใจตรงกัน
นพ.ธเรศ กล่าวต่อไปว่า ส่วน ม.117 ที่ตีความว่าคลินิกทั้งหมดสามารถจ่ายยาได้โดยไม่ต้องมีเภสัชกรนั้น เป็นการเขียนโดยยึดตาม ม.22 (5) ที่ให้ 3 วิชาชีพเดิม คือ แพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์สามารถจ่ายยาได้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ได้เสนอให้เพิ่มเติมว่า เป็นไปตามมาตรา 22(5) ในท้ายมาตรา 117 เพื่อให้เข้าใจตรงกันและชัดเจนขึ้นด้วย
ทั้งนี้ การจะดึงร่างกฎหมายออกมาเพื่อแก้ไข อาจจะทำให้ไม่ทันในการพิจารณากฎหมายในชั้นของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงเสนอว่าจะไปขอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า การคงสถานะร้าน ขย.2 ต้องเขียนไว้ในร่างกฎหมายเช่นนี้หรือไม่ หากต้องเขียนเช่นนี้ก็ต้องยอมรับ แต่หากไม่ถูกต้องก็จะแก้ไขในชั้นนี้ โดยโยก 2 มาตราดังกล่าวไปไว้ในบทเฉพาะกาล ก็คงต้องขอให้ทางสภาเภสัชกรรมและ 2 ชมรมเภสัชกร ช่วยกันยืนยันว่า เรามีเจตนารมณ์ที่ตรงกัน ยืนยันว่าเราไม่มีวาระซ่อนเร้น
ด้าน นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ยืนยันว่าจะไม่มีการเปิดร้านขายยา ขย.2 เพิ่ม ต่อให้มีการอบรมเพิ่มจาก อย.ก็ไม่สามารถเปิดร้านขายยา ขย.2 อีกได้ เพราะกฎหมายไม่อนุญาตให้เปิดได้ อีกทั้งประเภทของยาในร่างกฎหมาย ก็ไม่มีประเภทใดที่จะขายในร้าน ขย.2 ได้เพราะประเภทยา 3 ประเภทคือ ยาที่สั่งจ่ายโดยแพทย์ ยาที่จ่ายโดยเภสัชกร และยาสามัญประจำบ้าน ดังนั้น ในกฎหมายจึงใช้ว่าคำว่า ขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา ไม่ได้ใช้คำว่ายาบรรจุเสร็จตามกฎหมายฉบับเก่า ดังนั้น ที่มีการกล่าวว่าจะเป็นการเปิดร้านขายยาสะดวกซื้อจึงไม่ใช่เรื่องจริง เพราะตามร้านสะดวกซื้อก็จะขายได้แค่ยาสามัญประจำบ้านเท่านั้น ส่วนประเด็นร้านขายยาในร้านสะดวกซื้อนั้น ถือว่าเป็นคนละร้านกันมีการแบ่งพื้นที่ชัดเจน ต้องมีเภสัชกรประจำร้าน และต้องทำตามเกณฑ์ร้านขายยา มีการกั้นส่วนยาอันตรายต่าง ๆ ไว้ หากไม่มีเภสัชกรอยู่ในร้านก็ต้องปิดส่วนของยาอันตรายไว้ สามารถขายได้แค่ยาสามัญประจำบ้าน