“อรรถวิชช์” ซัดรัฐอัดงบ “บัตรคนจน” แค่ประชานิยม แจกเงินผิดตัวบางคนไม่จนจริง เหน็บกรรมการผันตัวเป็นผู้เล่น ลั่น ปชป.พร้อมสู้ทุกเขต ขายนโยบาย “รัฐสวัสดิการ” จัดหนักโปรช่วยคนจน-เกษตรกร-แรงงาน โอนเงินตรงเข้าบัญชี ย้ำไม่จับมือ “เพื่อไทย” แน่ ลั่นผิดจากนี้ “เลิกเล่นการเมือง”
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการ “ทุบประเด็น” ทางสถานีโทรทัศน์ไบรท์ทีวีช่อง 20 ว่า ตนจะลงสมัคร ส.ส.เขตเหมือนเดิมในเขตจตุจักร พญาไท ราชเทวี ถือเป็นเขตใหญ่มากเมื่อมารวมกัน แต่เมื่อแบ่งเขตออกมาหลายคนก็รู้สึกแปลก โดยเฉพาะที่ จ.สุโขทัย มีการเปลี่ยนไปจากภูมิศาสตร์เดิม โดยเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ประโยชน์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องสู้ ถึงแม้กรรมการจะกลายเป็นผู้เล่นก็ตาม ขณะที่สูตรการเลือกตั้งถือว่าคำนวณตัวเลข ส.ส.ลำบาก และจากรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาว่าจะล็อกใครเป็นนายกฯ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่าแปลก ไม่มีครั้งใดซื้อตัวผู้เล่นหนักเท่าครั้งนี้ ขณะที่เรื่องบัตรเลือกตั้งมีใบเดียวนับคะแนน 2 ครั้ง ทุกคะแนน 7.5 หมื่นจะได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแล้ว ทำให้มีพรรคใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จึงเห็นอาการ ส.ก. ส.ข. ย้ายพรรคมหาศาล หรือนักการเมืองเก่าๆเลิกไปแล้ว 20 ปีกลับมา เพื่อไปเก็บคะแนนทำให้คนที่อยู่บัญชีต้นๆ บัญชาการรบของแต่ละพรรคได้คะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ
“ดังนั้นศึกคราวนี้เป็นของการเมืองใหญ่ ตอนนี้แตกเป็น 3 ขั้ว ขั้วแรกทหาร ขั้วสองเอาคุณทักษิณ และขั้วที่สามไม่เอาคุณทักษิณ แต่ประชาธิปัตย์แตกแบงค์ย่อยไม่ได้ แต่ถ้าถามผมยอมเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ได้ แต่ผมไม่รวมกับเพื่อไทย ไม่รวมกับคุณทักษิณ ผมยืนยันแนวทางชัดเจน หัวหน้าพรรคก็มีแนวทางเดียวกัน แต่ถ้ามีการรวมเพื่อไทยเมื่อไหร่ ผมไม่สามารถสังฆกรรมได้ ผมก็ไปยืนปราศรัยหน้าพรรคเลยมั้ง เพราะไม่สามาถหักหลังคนที่ชุมนุมกับเราต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มุมนี้เป็นไม่ได้สำหรับชีวิตผม ไม่นั้นเลิกเล่นการเมืองไปเลย”นายอรรถวิชช์ ระบุ
นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า สำหรับคะแนนป๊อบปุล่าโหวตระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทย จะไม่ทิ้งกัน แต่จำนวน ส.ส.กลับห่างกันเยอะ ส่วนการนับคะแนนครั้งนี้ถือว่าประชาธิปัตย์มีโอกาส ส่วนประเทศไทยหลังเลือกตั้ง เชื่อว่าเมื่อกรรมการลายเป็นผู้เล่นกลายเป็น 3 ก๊กแบบนี้ แต่ประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่เป็นทางเลือกหนึ่งและขอเป็นทางออกตรงกลาง โดยเป็นบททดสอบครั้งหนึ่ง แต่ไม่แน่จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ แต่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ติดตามข่าวสาร คนไทยทั้งประเทศก็ติดตามข้อมูล แต่เชื่อมั่นประชาชนและอยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ
นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับเช็คช่วยชาติของประชาธิปัตย์ ถือว่าไม่เหมือนกัน เพราะขณะนั้นมีภาวะแฮมเบอร์เกอร์ไครซิส รัฐบาลต้องจุดจีดีพีโดยเอารายจ่ายภาครัฐให้เกิดการบริโภคในประเทศ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นนายกฯในขณะนั้นได้นำประเทศผ่านวิกฤติได้ ส่วนเรื่องบัตรคนจนนั้นเป็นความไม่ใจกับคนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนในตัวเลขเดิมจำนวน 12 ล้านคน ยืนยันเห็นด้วยช่วยคนจน แต่ไม่เห็นด้วยการกับแจกเงินผิดตัวที่ไม่ได้จนจริง ๆ เพราะเป็นฐานข้อมูลเก่า ทั้งนี้ การอัดเม็ดเงินลงไปเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ต้องถึงมือคนจนจริง ๆ เพราะบางคนหลุดความยากจนไปแล้วกลับมีสิทธิได้ แต่เชื่อว่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะประชาธิปัตย์คิดการช่วยคนจนเช่นกัน
“การเป็นประชานิยมเต็มลำคือแจกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นรัฐสวัสดิการจะแตกต่าง เช่น หากจะยกเลิกรถเมล์ฟรี น้ำฟรี ไฟฟรี รถไฟฟรี แต่ขีดเส้นความจนอยู่ที่เท่าไหร่ โดยต้องให้เงินถูกฝาถูกตัว เพื่อให้การหมุนเงินให้เป็นจริง โดยบัตรคนจนที่นำไปขึ้นรถเมล์ฟรี และรถไฟฟรี แต่รัฐต้องเอาเงินไปจ่ายหน่วยงานเหล่านี้ แต่ถ้าโอนเงินตรงเข้าบัญชีจะนำไปใช้อะไรก็ได้ ยืนยันไม่ใช่การเกทับ แต่ทำได้ตรงเป้ามากกว่า ด้วยการเอาเงินตรงเข้าบัญชี เงินช่วยคนยากไร้” นายอรรถวิชช์ กล่าว
นายอรรถวิชช์ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ประชาธิปัตย์จะทำเพราะเราหนีจริงไม่ได้ถ้ารายได้ของประชาชนต่ำและมีหนี้เพิ่มขึ้น จึงต้องประกันรายได้โดยขีดเส้นรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี หากใครไม่ถึงจะไปช่วยเขา นอกจากนี้จะประกันรายได้เกษตรกร โดยจะต่างจากจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่โครงการของประชาธิปัตย์นั้น จะประกันราคาข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน แต่ถ้าราคาตลาดในขณะนั้นอยู่ที่ 1.2 หมื่นบาทต่อตัน ส่วนต่าง 3 พันบาทโอนตรงเข้าบัญชีไปเลย ถ้ามีกี่ไร่ก็คูณที่ 3 พันบาทไป แต่ถ้าทำให้ตลาดเกิน 1.5 หมื่นรัฐบาลก็ไม่ต้องจ่าย รวมถึงพืซเศรษฐกิจอื่น ๆ อาทิ ข้าวจ้าว 1 หมื่นบาทต่อตัน ยางพารา 60 บาท ข้าวโพด 5 บาท โดยประชาธิปัตย์พยายามจะเข้าไปมีประกันรายได้ให้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงจะประกันรายได้ภาคแรงงานด้วย แต่ไม่ทำให้นายจ้างเดือดร้อน ยืนยันไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นรัฐสวัสดิการ โดยทฤษฎีนี้เคยเสนอให้รัฐบาลชุดนี้ไปแล้วแต่ก็ไม่ทำ ดังนั้นประชาธิปัตย์จะทำเองถ้าคนเลือกเข้ามา