ในอดีตอันยาวนาน เสียงระฆังกังวานแว่วจากขอบเขตพัทธสีมาในช่วงเวลาใกล้รุ่ง เป็นเสียงที่เคยเกี่ยวร้อย “วิถีธรรม” และ “วิถีไทย” เข้าด้วยกันอย่างเหนียวแน่น สัญญานจากหอระฆังวัด นอกจากจะบอกโมงยามให้ชาวบ้านรู้เวลา สาวกแห่งพระพุทธองค์ยังใช้เป็นสัญญาณปลุกให้ภิกษุตื่นจากการจำวัดเพื่อปฏิบัติศาสนกิจ ส่วนพุทธศาสนิกชนใช้กังวานเสียงที่ชำแรกผ่านบ้านเรือนต่างนาฬิกาปลุกให้ลุกขึ้นจัดเตรียมข้าวปลาอาหารสำหรับใส่บาตรเป็นเสบียงบุญและค้ำจุนพระพุทธศาสนา เพื่อให้ศาสนากลับมาค้ำคูณสังคมให้ยึดโยงอยู่ในทางธรรม
แต่เมื่อสังคมเติบโตทั้งระบบสาธารณูปโภคและเจริญด้วยวัตถุ วัดที่เคยหยั่งรากศาสนามานับหลาย 100 ปีในพื้นที่ที่เคยอยู่ กลายเป็น “วัดกลางเมือง” ที่ถูกโอบล้อมด้วยตึกสูง เสียงระฆังที่เคยเกี่ยวร้อยวัดและบ้านให้เกื้อหนุนกัน จึงกลับกลายเป็นเสียงน่ารำคาญหู ทะลุทะลวงทำลายโสตประสาทจนไม่อาจทนฟังอีกต่อไปได้ ที่สุดต้องร้องขอต่อผู้มีอำนาจให้หยุดเสียงที่ทำลายความสุขในช่วงเวลานอน
คติธรรม ความเชื่อ เรื่องระฆัง
เสียงระฆังที่ดังไกลเพราะหอระฆังในวัดส่วนใหญ่เป็นหอสูง ก่อสร้างเป็นอาคารมียอดแหลมเหมือนเรือนยอด และมักจะตั้งอยู่ใกล้โบสถ์หรือวิหาร สถาปัตยกรรมที่ออกแบบผูกโยงกับคติทาง “ไตรภูมิกถา” หรือจักรวาลทัศน์ หอระฆังมีสถานะเป็นภูเขา หรือส่วนหนึ่งของสัตตบริภัณฑ์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ โดยพระอุโบสถหรือวิหาร เปรียบดังเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ส่วนเสียงของระฆัง ถูกตีความว่าหมายถึง ศาสนา หากไม่มีเสียงระฆังนั่นหมายความถึงไม่มีศาสนา วัดในพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท จึงสร้างหอระฆังด้วยแนวคิดดังกล่าว ส่วนในพุทธศาสนา ฝ่ายมหายาน ใช้เสียงระฆังเป็นสัญญาณของจังหวะสวดมนต์ และใช้เสียงระฆังเป็นฐานของการฝึกสมาธิ ปัญญา ในอีกความหมายหนึ่ง เสียงระฆังหมายถึงสัญญาณชนะกิเลสที่เกิดจากการศึกษาและปฏิบัติธรรม
บ้าน วัด วัง อยู่ภายใต้ “ระฆัง” ใบเดียวกัน
เรื่องของระฆังในวัดจึงผูกร้อยกับคติธรรมและความเชื่อทางศาสนาอย่างแนบแน่น มิใช่การส่งเสียงเหง่งหง่างตามเวลาโดยไร้ความหมายใด ๆ และหากย้อนมองกลับไปในอดีต “เสียงระฆัง” ไม่เพียงปรากฏอยู่ในวิถีและวัฒนธรรมของไทยแค่ใน “วัด” และ “บ้าน” พระราชประเพณีในรั้ว “วัง” เสียงระฆังก็ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ เพื่อแสดงความหมายในเชิงบวกด้วยเช่นกัน ดังครั้งเมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ในหัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป เมื่อ พ.ศ.2440 ก็มีการตีระฆังถวายพระเกียรติ ในขณะที่เรือพระที่นั่งแล่นเข้าเทียบท่าราชวรดิษฐ์ หรือในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์ไทย ก็จะมีการย่ำหรือตีระฆังด้วยเช่นกัน
ในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสียงย่ำระฆังก็ถูกใช้แจ้งมงคลข่าวให้ประชาชนได้รับทราบ หลังจากมีการโปรดเกล้าฯ ในพระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ สมเด็จพระสังฆราช(จารึกพระนามสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ลงในแผ่นทองคำ) จะมีการย่ำระฆังครั้งแรก หลังพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเสร็จสิ้นลง เสียงระฆังจะกังวานขึ้นอีกครั้ง โดยเริ่มจากระฆังในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) ที่ว่ากันว่าเป็นระฆังที่มีเสียงหวานที่สุดในโลก และจะได้ยินเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองเท่านั้น ก่อนที่วัดทั่วประเทศจะย่ำระฆังอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่
เสียงระฆังจึงเป็นเส้นเสียงที่ร้อยรัดวิถีไทยเข้าด้วยกัน ขณะที่ทั้ง “บ้าน วัด วัง” ต่างมีความเชื่อในวิถีธรรมผ่านเสียงระฆังไม่ต่างกัน
“วิถีไทย-วิถีธรรม” กลางเมืองกรุง
เมื่อการย่ำระฆังคือธรรมเนียม ประเพณี ที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา จึงควรถูกคุ้มครองด้วย “กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม” โดย สมาคมอิโคโมสไทย (ICOMOS Thailand) ซึ่งระบุว่า “แม้กฎบัตร ไม่ใช่กฎหมาย แต่มีความสำคัญในการใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของชาติให้กับทุกภาคส่วน อย่างน้อยที่สุดหน่วยงานของรัฐควรใช้เป็นแนวทางในการอ้างอิง เพื่อประโยชน์ในการปกปักรักษามรดกวัฒนธรรมของชาติ และสนับสนุนการดำเนินงานโดยภาคประชาชน”
คำถามที่ควรถูกทบทวนเพื่อให้ได้คำตอบที่แท้จริงของต้นเหตุแห่งความรำคาญเสียงระฆัง คือเสียงที่ดังจนเกินทน หรือคือสายสัมพันธ์ที่พันเกี่ยวระหว่าง “วิถีไทย” และ “วิถีธรรม” ที่ใกล้ขาดสะบั้นลง เสียงสัญญานกังวานหูที่ช่วยปลุกให้ตื่นรู้ แปลงเปลี่ยนเป็นเสียงประณามและก่นด่า หรือที่ดังจนไม่ได้ยินความหมายของเสียงใด ๆ คือ เสียงในใจที่ขาดธรรม มุ่งยึดมั่นแต่ประโยชน์ส่วนตน จนหลงลืมทั้งรากไทยและรากธรรมของตนเอง
หรือหากมองภาพสะท้อนของป่าเมืองที่ล้อมวัด ภาพที่ฉายชัดคือฝ่ายฆราวาสที่สูงใหญ่ไม่ต่างจากอาคารมหึมาที่โอบล้อมพื้นที่ของศาสนาให้ดูลีบเล็กลง ในโลกปัจจุบันคนยุคใหม่มีอำนาจในการเลือกรับและตั้งคำถาม หลายครั้งที่มีข่าวให้พระพุทธศาสนาสั่นคลอน ความศรัทธาย่อมสั่นตาม แม้ยังมีศรัทธาแต่ก็อาจเลือกหยิบถือเพียงบางสิ่งที่ต้องการเท่านั้น
บทบาทของศาสนาในวันนี้อาจแปรเปลี่ยน คำถามที่ควรต้องย้อนกลับในอีกทางหนึ่ง พระพุทธศาสนายังปักหลักมั่นคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ฆราวาสได้หรือไม่ หากใช่…ภาพวัดแม้นิดน้อยกลางป่าปูน แต่นั่นก็คือ “ศูนย์กลางของจิตใจ”ที่คนในเมืองใหญ่ยังยึดโยงไว้ด้วยศรัทธา ต่อให้เมืองโตสักแค่ไหน วัดก็จะยังคงดำรงอยู่ได้ไม่สูญสลาย แต่ถ้าไม่ใช่…
เสียงระฆังจากวัดควรดังไกล ดังเพื่อให้สังคมได้ฉุกคิด นับจากนี้ “บ้าน” กับ “วัด” เราจะดำรงอยู่ร่วมกันอย่างไร เพื่อให้ “วิถีไทย” และ “วิถีธรรม” เกื้อหนุนกันอย่างยั่งยืน
Note :
- การตีระฆังของพระเพื่อปลุกพระจำวัดให้ลุกขึ้นปฎิบัติศาสนกิจ ชาวบ้านเมื่อได้ยินเสียงระฆังก็ลุกขึ้นเตรียมอาหารใส่บาตร
- หอระฆังมักเป็นหอสูงเรือนยอด เพื่อให้เสียงระฆังดังไกล สถาปัตยกรรมออกแบบตามความเชื่อ “ไตรภูมิกถา” หอระฆังมีสถานะเป็นภูเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ โดยพระอุโบสถหรือวิหาร เปรียบดังเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
- เสียงระฆัง คือศาสนา ตามความเชื่อฝ่ายเถรวาท มหายานใช้เสียงระฆังเป็นฐานของการฝึกสมาธิ ปัญญา เป็นสัญญาณชนะกิเลส
- ระฆังถูกใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เป็นสัญลักษณ์เพื่อถวายพระเกียรติ เฉลิมฉลอง และในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทางพระพุทธศาสนา
………….
ข้อมูล
คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์ สถาปัตยกรรมไทย : ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์
มติชน บันทึกประเทศไทยปี 2560
ซุ้มรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง : ยุวดี ศิริ
กรมการศาสนา
สำนักสอนศีลธรรม มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย