สถานการณ์น้ำ สำหรับประเทศไทยปี 2561 กลับมาให้ต้องลุ้นอีกครั้ง เมื่อพื้นที่ในหลายจังหวัดต้องประสบกับภาวะน้ำท่วมขังอยู่ลายพื้นที่ ที่มาพร้อม ๆ กับข่าวน้ำท่วมคือ กระแสข่าวว่า “เขื่อนแตก”
ข้อมูลในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา พบว่าเหตุการณ์เขื่อนแตกส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแถบเอเชีย ซึ่งล่าสุดที่เกิดเหตุเขื่อนแตก คือ เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ที่แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างเเตก ทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมหลายหมู่บ้าน
ส่วนเหตุการณ์เขื่อนแตกที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเกิดขึ้นในประเทศจีน คือ เขื่อนปั่นเฉียว และเขื่อนชิมานตัน ที่มณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของจีน ในปี 1975 และเขื่อนรัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดียแตก ในปี 1979
ขณะที่ชาติทางฝั่งตะวันตกก็มีเหตุการณ์เขื่อนแตกเกิดขึ้นเช่นกัน โดยปี 2005 พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาเข้าพัดถล่ม ทำให้เขื่อนกั้นแม่น้ำมิสซิสซิปปี ในเมืองนิว ออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ของสหรัฐฯ แตก มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
“กาลักน้ำ” ช่วยน้ำเต็มเขื่อน
อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำปัจจุบันของไทย (8 สิงหาคม 2561) พบว่ามีเขื่อนที่รองรับน้ำเกินปริมาณความจุของเขื่อน จำนวน 2 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนน้ำอูน มีปริมาตรน้ำ 534 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 103% ของความจุเขื่อนทั้งหมด ไม่สามารถรับน้ำได้อีก และ เขื่อนแก่งกระจาน มีปริมาตรน้ำ 734 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 103% ของความจุเขื่อนทั้งหมด ไม่สามารถรับน้ำได้อีก เช่นกัน
นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการลุ่มน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้อธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ปีนี้น้ำเต็มเขื่อนเร็วกว่าปกติ เมื่อน้ำเต็มเขื่อนเร็วผิดปกติ ถึงช่วงหน้าฝนเขื่อนจะไม่มีพื้นที่รองรับน้ำ หากน้ำไหลลงมาทีเดียว ก็จะเหมือนกับเทน้ำที่เต็มจนล้นแก้ว ไม่สามารถควบคุมได้ และทำให้เกิดอันตรายกับเขื่อน จึงต้องทำกาลักน้ำ เพื่อพร่องน้ำออกจากเขื่อน และเตรียมพื้นที่ไว้รับน้ำฝนเมื่อฝนมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างก็หาทางบริหารจัดการน้ำ และคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเช่นกัน