งัด “ฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า” ฟื้นท่องเที่ยวจีน “ดี” อาจกลายเป็น “ร้าย”

เริ่มต้นไฮซีซั่นของฤดูท่องเที่ยวไทยในปีนี้ ดูเหมือนจะไม่สดใสมากนัก หลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ในเดือน ก.ย. ลดลงเหลือ 6.51 แสนคน หรือลดลง 14.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาอยู่ที่  8.76 แสนคน หรือลดลง 11.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในภาพรวม จะไม่ได้เลวร้ายจนเข้าขั้นวิกฤต เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.2561) ยังสูงถึง 28.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.71% เมื่อเทียบกับปีก่อน

แต่ก็เป็นสถานการณ์ร้อนๆที่ทำให้รัฐบาลนั่งไม่ติด ต้องออกมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อคลี่คลายปมนักท่องเที่ยวจีน “หาย” ตามเสียงเรียกร้องของเอกชนในภาคท่องเที่ยว

ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมเสนอแพ็กเกจกระตุ้นท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวดังเดิม ตามที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ได้ให้นโยบายไว้

โดยททท.จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ที่เคยเก็บ 2,000 บาท/หัว ให้กับนักท่องเที่ยว 21 ชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยวจีน และเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2561-15 ม.ค.2562

ประเด็นนักท่องเที่ยวจีนลดลงนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หลังเกิดเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค.2561 ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตรวม 47 คน และอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ สื่อจีนและสังคมออนไลน์ของจีน ต่างโหมกระพือข่าวเหตุเรือล่มประหนึ่งไฟลามทุ่ง

ซึ่งนั่น “สั่นคลอน” ความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยที่ชาวจีนมีต่อประเทศไทยอย่างมาก

การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจีนที่ประสบเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต 5 ก.ค.2561

ทว่าสถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2561 ว่า “คนจีนเขาเป็นคนนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เรื่องของเขา เขาทำเรือของเขาเอง เขาฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเรา จะให้ไปเรียกความเชื่อมั่นอย่างไร” เป็นการสุมฟืนให้โลกโซเชียลจีนลุกเป็นไฟ

แม้ว่าวันรุ่งขึ้น พล.อ.ประวิตร จะขอโทษชาวจีนปมเรือท่องเที่ยวอัปปาง ซึ่งเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวเสียชีวิตจำนวนมาก แต่ไม่อาจลบปม “หมางใจ” ของชาวจีนได้

ต่อมาในวันที่ 27 ก.ย. เกิดเหตุกับนักท่องเที่ยวจีนอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่สนามบินดอนเมืองรายหนึ่ง ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ และทำร้ายนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของสนามบิน จนสื่อโซเชียลจีนนำคลิปวิดิโอเหตุการณ์นี้ไปเผยแพร่ มีการส่งต่อกันในหมู่ชาวจีนนับล้านคน ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยในสายตาชาวจีน “ติดลบ” หนักกว่าเดิม

“ตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือนก.ย.ที่ลดลง 15% เป็นอะไรที่เราคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ผู้ใหญ่ฝ่ายจีนบอกว่าจะเกิดภาวะแบบนี้” รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา

หากจะว่าไปแล้ว นักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง 2 เดือนติดต่อกัน แม้จะมีสาเหตุมาจากกรณีเรือจีนล่ม หรือกรณีนักท่องเที่ยวจีนถูกทำร้ายที่สนามบิน แต่คงไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด

เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จีนกำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือการที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ 6 ก.ค.2561 และแม้ว่าจีนจะตอบโต้สหรัฐไปบ้าง รวมถึงการตั้งโต๊ะเจรจากันหลายครั้ง แต่สงครามการค้าก็ยังลุกลามบานปลาย

ปัจจุบันสินค้านำเข้าจากจีนเกือบ 7,000 รายการ ถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% คิดเป็นมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 3 เท่าของรายได้ท่องเที่ยวที่ไทยทำได้ทั้งปี 2560

ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก คิดเป็นมูลค่า 2.67 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจจีนอีกระลอก

แม้ว่าตอนนี้สงครามการค้า จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีนไม่มาก แต่ได้ทำให้ความมั่งคั่งของตลาดหุ้นจีนทรุดฮวบลงเกือบ 30%

ผลก็คือกำลังซื้อของชาวจีนหายไป และการที่ทางการจีนอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ พร้อมๆกับการปล่อยให้ “เงินหยวน” อ่อนค่าลง เพื่อรับมือกับสงครามการค้า ส่งผลให้ชาวจีนที่ออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศต้องจ่ายแพงขึ้น

ดังนั้น นักท่องเที่ยวจีนที่เคยมุ่งหน้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้นทุกๆปีนั้น ต่อจากนี้ไปจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว และการที่จะได้เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเติบโตเป็นตัวเลขปีละสองหลักเหมือนที่ผ่านมา คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

อีกหนึ่งปัญหาที่รัฐบาลอาจให้ความสำคัญน้อยเกินไป คือ ปัญหาความแออัดของสนามบินหลักของไทย ซึ่งเป็นประตูสำคัญในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ออกรายงานฉบับล่าสุด (16 ต.ค.) ว่า เหตุการณ์เรือล่มที่จ.ภูเก็ต ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง แต่สถานการณ์การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวหลังเกิดเหตุการณ์ 3 เดือน และเป็นเช่นนี้มาตลอดนับแต่ปี 2545 แต่ปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดของการท่องเที่ยวไทย คือ ความแออัดของสนามบินหลัก

“ปัจจัยที่จะชะลอการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ กำลังการรองรับของสนามบินหลักของไทยเริ่มมีข้อจำกัด เนื่องจากการใช้รันเวย์และจำนวนผู้ใช้บริการในปัจจุบัน อยู่ในระดับที่เกินกำลังการรองรับไปแล้ว ขณะที่การขยายสนามบินส่วนใหญ่จะเสร็จสิ้นและเปิดใช้บริการตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป”SCB EIC ระบุ

ความพยายามของรัฐบาลและภาครัฐที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยว 2000 บาท/หัว ซึ่งเคยนำมาใช้เมื่อเดือนพ.ย.2559-ส.ค.2560 และได้ผลดีตามคาด เพราะทำให้นักท่องเที่ยวจีนฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ หลังได้รับผลกระทบจากนโยบายจัดการ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”

ที่มา : วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวฯ

แต่ทว่าในคราวนี้ อาจไม่ได้ผลเหมือนก่อน เพราะหลายปัจจัยแวดล้อมไม่เอื้อ ทั้งภาวะเศรษฐกิจจีนที่อาจจะไม่ดีเหมือนก่อน และข้อจำกัดของสนามบินในประเทศ

ที่สำคัญในขณะที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ มุ่งแต่เพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัด จะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี ส่งผลให้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของไทยบอบช้ำอย่างหนัก และบางแห่งต้องปิดฟื้นฟูอย่างไม่กำหนด

หากจะแก้ให้ตรงจุด การได้นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักไม่กี่คน ดีกว่าได้นักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ที่มาเป็นโขยง

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า