“รัฐบาลทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การดูแลผู้สูงอายุ ค่าน้ำ ค่าไฟ พลังงาน เดี๋ยวจะทยอยออกมาตามลำดับ ผมไม่อยากให้สื่อเขียนว่ารัฐบาลนี้แจกๆ เพื่อการเมือง ไม่ใช่เรื่อง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมครม.เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา

แต่จะมีกี่คนที่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคสช. ไม่ได้หวังผลอะไร ก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เพราะครม.เพิ่งอนุมัติสารพัดมาตรการแจกเป็นของขวัญปีใหม่ มูลค่า 8.75 หมื่นล้านบาท เอาใจคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้มีรายได้น้อย ชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม ยันข้าราชการบำนาญ อีกทั้งจะมีมาตรการเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการช้อปช่วยชาติ และอุดหนุนค่าน้ำมันให้วินมอเตอร์ไซด์ลิตรละ 3 บาท

เมื่อพิจารณาแต่ละมาตรการที่ครม.อนุมัติ ล้วนแล้วแต่เป็นการ “แจกเงิน” แทบทั้งสิ้น

เริ่มจากจ่ายเงิน 38,730 ล้านบาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน เป็นค่าใช้จ่ายปลายปีคนละ 500 บาท จ่ายค่าเดินทางไปรักษาพยาบาลให้ผู้สูงอายุคนละ 1,000 บาท ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า 230 บาท/เดือน ค่าน้ำ 100 บาท/เดือน 10 เดือน และช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน 400 บาท/เดือน นาน 10 เดือน

การเพิ่มค่าครองชีพให้ข้าราชการบำนาญ 2.21 แสนคน เป็นเงิน 25,259 ล้านบาท แบ่งเป็นการ เพิ่มเบี้ยหวัดบำนาญเป็นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่น/เดือน และขยายเพดานบำเหน็จดำรงชีพเพิ่มอีก 1 แสนบาท

จ่ายเงินตรงให้ชาวสวนยางและคนกรีดยางกว่า 1.3 ล้านคน เป็นเงิน 18,604 ล้านบาท โดยจ่ายเงินช่วยเหลือ 1,800 บาท/ไร่ อีกทั้งจัดสรรงบ 1,050 ล้านบาท เข้าซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน เพื่อนำไปเผาผลิตไฟฟ้า กก.ละ 18 บาท และอุดหนุนส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ กก.ละ 1.75 บาท

และให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กันเงิน 6 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้ในโครงการบ้านล้านหลัง ราคาหลังละไม่เกิน 1 ล้านบาท ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีเงินเดือนไม่เกิน 2.5 หมื่น/เดือน คิดดอกเบี้ยเพียง 3% นาน 5 ปี หรือผ่อน 3,800 บาท/เดือน โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ย 6 ปี 3,876 ล้านบาท

“เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ซึ่งผมไม่ขอพูดถึง แต่สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่นี้ ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่รัฐบาลก่อนๆทำเลย และยังอยู่ในวังวนของประชานิยม” นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวกับไบรท์ทีวีออนไลน์

นิพนธ์ ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการฯ 14.5 ล้านคน ซ้ำซ้อนกับการที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยาง อ้อย และพืชเกษตรอื่นๆก่อนหน้านี้ เพราะผู้ถือบัตรสวัสดิการฯจำนวนไม่น้อย มีอาชีพเป็นเกษตรกร

“ต่างคนต่างคิด คนนั้นคิดเรื่องหนึ่ง คนนี้คิดเรื่องหนึ่ง ไม่เคยมานั่งประชุมกัน การช่วยเหลือจึงซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองงบประมาณ แล้วโครงการลักษณะนี้มันต้องทำไปเรื่อยๆ ต้องเติมเงินเรื่อยๆ แล้วจะหาเงินจากไหนล่ะ สุดท้ายก็ต้องไปเบียดบังงบประมาณส่วนอื่นมาใช้” นิพนธ์กล่าว

นิพนธ์ ให้ความเห็นว่า แน่นอนว่าในระยะยาว นโยบายการจัดสวัสดิการให้ประชาชนเป็นสิ่งที่ต้องมี แต่ต้องเป็นโครงการที่ทำให้คนหายจนด้วย คือ ต้องทำให้คนมีเบ็ดตกปลา และต้องยั่งยืนในระยะยาว

“ที่สิงคโปร์ เขามีโครงการช่วยเหลือคนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งไม่ได้แจกเงินให้ทั้งหมด แต่จะกันเงิน 30% ของเงินที่จะให้ไปไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และให้กองทุนฯนำไปลงทุน เมื่อผู้มีรายได้น้อยเกษียณอายุก็จะได้เงินจากกองทุนฯไว้เลี้ยงชีพ โดยไม่ต้องพึ่งพาเงินของรัฐ ซึ่งของไทยเราก็ทำได้”นิพนธ์กล่าว

ขณะที่ พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีและอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรอบนี้ มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากการหาเสียง เพราะอีกไม่นานก็จะเลือกตั้งแล้ว

“เป็นการหาเสียง เขาตั้งใจหาเสียงเลย เหมือนที่ทำมาตลอดตั้งแต่ออกบัตรสวัสดิการฯเมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนี้เป็นการแจกเงินให้คนหลายกลุ่ม ทั้งผู้มีรายได้น้อย คนแก่ คนเกษียณ สวนยาง สวนปาล์ม ซึ่งจะทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกดีกับพรรครัฐบาล แต่จะเลือกหรือไม่เลือก ยังไม่มีใครบอกได้” พรายพลระบุ

พรายพล บอกว่า การอัดฉีดเงินหลายหมื่นล้านบาทครั้งนี้ แน่นอนว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คงมีผลไม่มากนัก เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจไทยที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก

แต่หากตีความแบบเข้มข้นในเชิงเศรษฐศาสตร์ การแจกเงินลักษณะนี้ถือว่าไม่มีวินัยการเงินการคลังเลย และอาจเข้าข่ายว่าจะผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่รัฐบาลชุดนี้ทำขึ้น เพราะไม่มีการอธิบายที่มาที่ไป และบอกเหตุผลความจำเป็นว่าเหตุใดต้องทำโครงการแบบนี้ ทุกอย่างยังคลุมเครือไปหมด

“การแจกเงินแบบนี้ ดูไปก็คล้ายๆกับการจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าว เพระสร้างภาระงบประมาณเหมือนๆกัน และสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ กำลังอยู่ทำตอนนี้ ก็ทำเหมือนกับสิ่งที่เคยว่าคนอื่นเอาไว้ ผมจึงคิดว่า น่าจะเกิดจากความหน้ามืด อยากอยู่ต่อ เพราะพรรคก็ตั้งไว้แล้ว”พรายพลกล่าว

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าไม่อยากให้มองว่าการช่วยเหลือประชาชนครั้งนี้ เป็นการแจกเงินเพื่อทางเมือง แต่โดยเนื้อแท้ก็คือการหวังผลชนะการเลือกตั้งอยู่นั่นเอง และไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมซื้อเสียงทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนๆทำมา

ไม่มีใครรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ หน้ามืดมองไม่เห็นทาง หรือมองเห็นแต่ทำเป็นไม่สนใจ เพราะเพียงแค่อยากก้าวขึ้นตำแหน่งนายกฯ สืบทอดอำนาจทางการเมือง เหมือนเสียงเล่าลือกันให้แสด!!

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า