พลันที่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกคำสั่งที่ 16/2561 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ขยายเวลาการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งออกไป กลายเป็นฟ้าผ่าลูกใหญ่มาที่กลางวงกกต. ก่อนเตรียมส่งสรุปผลการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาได้เพียงไม่นาน
ทุกคำถามพุ่งเป้าไปที่ “ม.44” จะเป็นชนวนให้การเลือกตั้งตามที่มีกระแสข่าวมาทุกระยะหรือไม่ โดยเฉพาะการ “เบรค” การทำหน้าที่ของ กกต.เป็นเหมือนการ “แทรกแซง” บทบาทองค์กรอิสระ ถึงแม้ในคำสั่งฉบับนี้จะให้ กกต.ต่อลมหายใจ สำหรับการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งให้แล้วเสร็จก่อนที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 ธ.ค.2561 โดย คสช.ให้เหตุผลว่า ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อให้การแบ่งเขตสมบูรณ์มากที่สุด
ทว่าซุ้มเสียง จาก”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมากระทุ้งต่อคำสั่ง คสช.ว่า มีนัยยะแอบแฝง โดยอาศัยช่วงชุลมุนที่ กกต.ทำหน้าที่เพื่อต้องการอะไรบางอย่างหรือไม่ ทั้งที่การแบ่งเขตเลือกตั้งต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 10 พ.ย.2561
ที่สำคัญ”อภิสิทธิ์” ยังตั้งข้อสังเกตการขยายเวลาครั้งนี้ มาจากกระแสข่าวการ “เกมต่อรอง” กับอดีตส.ส. หากไปอยู่พรรคนั้นจะแบ่งเขตเลือกตั้งให้แบบนี้ แต่ถ้าไม่อยู่พรรคนี้ รูปแบบการแบ่งเขตจะเป็นอีกแบบหนึ่ง!
“สิ่งเหล่านี้ทำให้สงสัยว่า อำนาจการแบ่งเขตเลือกตั้งที่เป็นของกกต. ทำไมจึงมีคนกล้าที่จะมาอ้างว่าสามารถที่จะเข้าไปมีอิทธิพลหรือไปแทรกแซงได้” อภิสิทธิ์ ระบุ
ขณะที่ฝั่ง “เพื่อไทย” ออกมาวิจารณ์ คสช.มีพฤติกรรมอาจส่อไปเป็นผู้มีส่วนได้เสียต่อเลือกตั้ง ภายหลังมี 4 รัฐมนตรีไปตั้งพรรคพลังประชารัฐ มองได้ว่าการเลื่อนการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ออกไป จะเกี่ยวข้องเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองในฐานะ “รัฐบาลเดียวกัน” เพื่อเตรียมสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่
เช่นเดียวกับฝากฝั่งมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) ระบุว่าการที่ คสช.ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/1561 ให้ กกต.ทบทวนการแบ่งเขตใหม่ ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงองค์กรอิสระ แเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม นำไปสู่ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมือง มีแนวโน้มพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร อาจ ผไชิงความได้เปรียบ” จากคำสั่งครั้งนี้ จนนำไปสู่ผลการเลือกตั้งที่ไม่สามารถสร้างการยอมรับของคนในสังคมได้
ที่สำคัญหากมองย้อนไปที่กระบวนการเปิดให้รับฟังความคิดเห็นเฉพาะจากประชาชน และพรรคการเมืองของ กกต.ที่ดำเนินการไปแล้ว แต่ในคำสั่ง คสช.16 /2561 กลับเปิด “เงื่อนไขใหม่” ให้รับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอจาก คสช.และรัฐบาลได้ ทำให้พรรคการเมืองไม่มั่นใจว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมด อาจมีรูปแบบนอกเหนือจาก 3 รูปแบบที่ กกต.เสนอไว้ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดใหญ่ที่มี ส.ส.จำนวนมาก ขีดเส้นใต้ 3 เส้นไปที่ภาคอีสานถึง 116 เขตมากที่สุดกว่าทุกภูมิภาค อาทิ นครราชสีมา 14 ที่นั่ง อุบลราชธานี 10 ที่นั่ง อุดรธานี 8 ที่นั่ง ไม่เว้นแต่ในพื้นที่กรุงเทพฯถึง 30 ที่นั่ง จะถูก”เขย่า” จาก กกต.เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่
เพราะบรรดานักการเมืองหลายพรรคได้ทำพื้นที่มาอย่างหนัก วางทีมงาน เซตหัวคะแนน ปูพรหมนโยบายเพื่อยึดหัวหาดพื้นที่ไข่แดงไว้แล้วทั้งสิ้น การถูก”ปรับเปลี่ยน” เขตเลือกตั้งที่จะหายไปหรือเพิ่มเข้ามา ย่อมกระทบต่อแผนหาเสียงในพื้นที่จังหวัดที่มี ส.ส.ลดลง และส.ส.เพิ่มขึ้น ภายหลังก่อนหน้านี้ กกต.ถูกเพ่งเล็งตั้งแต่ปรับจำนวน ส.ส.ใหม่ทั่วประเทศจาก 375 เขตเหลือ 350 เขต ทำให้การจัดพื้นที่ของพรรคการเมืองได้เตรียมว่าที่ผู้สมัครไว้แล้ว ยังถูกเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
ถึงแม้ล่าสุด กกต.ได้วางกรอบเวลาจะเริ่มพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้งในวันที่ 26 พ.ย. และเสร็จสิ้นไม่เกิน 30 พ.ย. จากนั้นจะส่งประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งลงในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็ว พร้อมมีกำหนดว่าต้องทำให้แล้วเสร็จก่อน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มีผลบังคับใช้ โดยจะ”ปิด” รับเรื่องร้องเรียนถึงวันที่ 25 พ.ย. จากเดิมมีคำร้องที่ตกค้างอยู่ที่ กกต.หลังพิจารณาแบ่งเขตเสร็จตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ถึงปัจจุบันประมาณ 26 คำร้อง ซึ่งกกต.จะหยิบขึ้นมารวมกับคำร้องใหม่เข้ามาพิจารณาด้วย
เมื่อความเคลื่อนไหวใหญ่ของ “สามมิตร” ประกาศตัวเสริมทัพพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการแล้ว การถูกเชื่อมโยงไปถึง “วาทกรรม” ชุดใหม่ “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซด์มาเพื่อพวกเรา” ทำให้บรรดาพรรคการเมืองกำลังจดจ้องว่าการประกาศเขตเลือกตั้งของกกต.ภายหลังวันที่ 30 พ.ย. จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หากเปลี่ยนไปจากผลพวงของอำนาจ “ม.44” แน่นอนว่า กกต. ย่อมถูกพรรคการเมืองตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่แน่นอน