ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าทุกวันนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมากมายจริงๆ (ฤดูหนาวยังร้อนและมีฝนอ่ะ…คิดดู!) ซึ่งวัฏจักรของธรรมชาตินั้นมีอิทธิพลสำคัญมากค่ะต่อสภาพอากาศโลก และยังสามารถทำให้เกิดภัยแล้งและน้ำท่วมได้ด้วย โดยการวิเคราะห์ล่าสุดจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกของสหประชาชาติ ระบุว่า ปรากฏการณ์ ‘เอลนีโญ’ (El Niño) มีโอกาสจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และจะทำให้สภาพอากาศร้อนขึ้น 75-80% ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า
จริงๆ แล้วปรากฏการณ์ El Niñoครั้งล่าสุดได้สิ้นสุดลงในปี 2016 ค่ะ ซึ่งส่งผลให้ปีนั้นเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยความร้อนที่เพิ่มก็เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของมนุษย์เรานี่แหละ แต่ UN ก็ยังไม่คอนเฟิร์มนะคะว่าในปี 2019 เอลนีโญจะรุนแรงเท่าในปี 2016 หรือไม่
แม็กซ์ ดิลลี (Maxx Dilley) ผู้อำนวยการโครงการพยากรณ์อากาศและสาขาการปรับตัวของ WMO กล่าวถึงความคาดการณ์ต่อปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งนี้ว่า ไม่น่าจะมีความรุนแรงเท่ากับเหตุการณ์ในปี 2015-2016 แต่ก็ยังสามารถส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิได้อย่างมีนัยสำคัญในหลายภูมิภาค โดยมีผลกระทบที่สำคัญต่อการเกษตรและความปลอดภัยด้านอาหาร ตลอดจนการจัดการทรัพยากรน้ำและสาธารณสุข นอกจากนี้อาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (climate change) ในระยะยาว ที่จะยิ่งเพิ่มอุณหภูมิของโลกในปี 2019 ด้วย
ปรากฏการณ์เอลนีโญนั้นจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติทุกสองสามปีค่ะ และเกิดจากอุณหภูมิในมหาสมุทรบริเวณแปซิฟิกตะวันตกที่สูงผิดปกติ ซึ่งมีอิทธิพลสำคัญต่อสภาพอากาศทั่วโลก โดยทำให้เกิดภัยแล้งในสถานที่ที่ปกติมีความชื้น (เช่น บางส่วนของออสเตรเลีย) และเกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ที่ปกติจะแห้งแล้ง (เช่น ในอเมริกาใต้) อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการฟอกขาวในแนวปะการังด้วย ซึ่งสำนักอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลียเผยว่า ในเดือนตุลาคมที่อากาศร้อนและแห้งแล้งจะมีโอกาสเกิดเอลนีโญได้มากขึ้น โดยมีความเสี่ยงต่อการเกิดคลื่นความร้อนและไฟป่ามากขึ้น และเป็นเรื่องแย่สำหรับเกษตรกรที่ประสบภัยแล้งอยู่แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ climate change ทำให้ผลกระทบจากเอลนีโญรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ ความร้อนจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ปี 2016 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ รองลงมาคือปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดทั้งที่ไม่มีปรากฏการณ์เอลนีโญ โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่าปี 2018ที่เกิดภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงขึ้นทั่วโลกจะเป็นครั้งที่สี่ที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นพันล้านตันอย่างต่อเนื่องทำให้ก๊าซเรือนกระจกมีความเข้มข้นมากเป็นประวัติการณ์ หมายความว่าผลกระทบด้านความร้อนจะรุนแรงขึ้นกว่าที่เคยด้วย แต่ ทิม สต็อกเดล (Tim Stockdale) จากศูนย์สภาพภูมิอากาศระยะกลางของยุโรป (European Centre for Medium-Range Weather Forecasts) กล่าวว่า สถานการณ์ El Niñoที่กำลังก่อตัวนี้มีแนวโน้มที่จะมีส่วนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นในปี 2019 แต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าจะเป็นปีที่ถูกบันทึกไว้อีกครั้งหรือไม่
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ 17 จาก 18 ปีที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1850 เกิดขึ้นระหว่างปี 2000-2017 ซึ่งผลการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศที่รุนแรงได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม WMO วิเคราะห์โดยประเมินโอกาสว่าปรากฏการณ์เอลนีโญแบบเต็มสตรีมจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมปีนี้ถึงกุมภาพันธ์ปีหน้าที่ 75-80% และมีโอกาส 60% ที่ปรากฏการณ์จะดำเนินต่อไปจนถึงเดือนเมษายนปี 2019 โดยจะพบความรุนแรงเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้จากอุณหภูมิพื้นผิวทะเลแปซิฟิกตะวันตก ของมหาสมุทรแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ย แต่การคาดเดาในปัจจุบันสำหรับปรากฏการณ์นี้จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0.8-1.2 องศาเซลเซียสเหนือค่าเฉลี่ย
ปีนี้ก็ว่าร้อนสุดๆ แล้วนะคะ … ถ้าปีหน้าจะร้อนกว่านี้เห็นทีจะอยู่ยากแล้วล่ะ
ที่มา: www.theguardian.com