รายงานพิเศษ : มองการเมือง’62 จับตา “เดิมพัน” วิกฤติประเทศ
นับเวลาอีกไม่กี่วันการเมืองไทยจะเข้าสู่โหมดการหาเสียงเลือกตั้งเต็มรูปแบบ เมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปออกมาเป็นทางการ จะส่งให้ทุกพลวัตรทางการเมืองเริ่มเดินหน้าทำให้ปี 2562 กลายเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ จะกลับเข้าสู่วันวนแห่งความขัดแย้งหรือไม่ เมื่อกติการถูกเปลี่ยนไปพร้อมกับการเปิดตัวผู้เล่นหน้าใหม่ ทุกก้าวย่างการแข่งขันจากทุกพรรคการเมืองจะมี “อำนาจรัฐ” เป็นเดิมพันทั้งสิ้น
หากประเมินจากสถานการณ์ก่อน 24 ก.พ.2562 ทุกพรรคได้เริ่มจัดแถวว่าที่ผู้สมัคร และระดมทุกสรรพกำลังทางการเมืองเตรียมอัดกระแส-กระสุนให้พร้อมก่อนวันเลือกตั้ง พุ่งเป้าไปที่เวทีปราศรัยในพื้นที่สูสีจะเข้มข้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะสมรภูมิ “โซเชี่ยลมีเดีย” จะเป็นเวทีต่อสู้ที่ดุเดือดไปคู่ขนานการโจมตีคู่แข่งทั้งใต้ดินบนดิน ถึงขั้นมีกระแสข่าวเตรียม “อุ้ม” ว่าที่ผู้สมัครนำไปเก็บตัวไว้ เพื่อไม่ให้ลงสมัครในพื้นที่สำคัญๆ แต่ละเขตเลือกตั้ง
เชื่อได้ว่าอุณหภูมิทางการเมืองจะร้อนแรงจนปรอทแตก จากที่ขณะนี้หลายพรรคเริ่มอุ่นเครื่อง “ปะ-ฉะ-ดะ” ไปแล้วหลายเวที ตั้งแต่คู่ “ธนกร วังบุญคงชนะ” รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” หัวหน้าทีมหาเสียงพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการปลุกกระแสเลือกข้าง ระหว่างฝ่าย “เอา” เผด็จการกับฝ่าย “ไม่เอา” เผด็จการ ให้เป็นเสียงชี้ขาดต่อการเลือกตั้งในครั้งนี้
จากนั้นเมื่อผ่านวันเลือกตั้งจะเห็นจังหวะ “ดีล” ทางการเมืองแต่ละพรรค เพื่อประกบคะแนนเสียงจัดตั้งรัฐบาล แน่นอนว่า 250 เสียงจากส.ว.ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกนายกฯ แต่หากพรรคที่ได้เสียงข้างมากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล จากเสียงส.ว.ที่เข้ามา “เปลี่ยนเกม” บัญชีนายกฯแล้ว หรือเลยเถิดไปถึงขั้นตอนเลือก “นายกฯคนนอก” นั้น หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการปลุก “ชนวน” ความขัดแย้งรอบใหม่ อาจถึงขั้นถูกปลุกระดมเพื่อ “ล้มบัญชีนายกฯ” บานปลายจนไปถึงพฤษภาทมิฬอีกครั้ง !!
ถึงแม้การเลือกตั้งยุคนี้จะได้เสียงส.ว.เข้ามาชี้ขาดเลือกนายกฯ แต่เมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ การถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือการโหวตกฎหมายสำคัญๆ ขีดเส้นใต้ไปที่พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 กลุ่ม 250 ส.ว.จะไม่สามารถเข้าร่วมโหวตเพื่อช่วยรัฐบาลได้ จนทำให้เกิดภาวะ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ในช่วงการลงมติ จะถูกท้าท้าย “เสถียรภาพ” การบริหารประเทศและสั่นคลอนบัลลังค์การถืออำนาจของนายกฯที่พร้อมถูกล้มได้ทุกเมื่อ
ถึงขั้นเริ่มคิดสูตรจับขั้วทางการเมืองระหว่างพรรคที่ได้เสียงข้างมากอันดับ 1-2-3 มาร่วมตั้ง “รัฐบาลผสม” เพื่อปลดล็อกไม่ให้ประเทศไปสู่ทางตัน หรีอกระทั่งอาจเห็นการสวิงขั้วในสภาฯ ระหว่างพรรคใหญ่เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ โดยมีภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา-ชาติพัฒนา เป็นพรรคตัวแปรสำคัญ ขณะที่ฝั่งอนาคตใหม่-ไทยรักษาชาติ-ประชาชาติ พร้อมรวมเสียงต่อต้านพรรคสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าทุกสูตรการตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่จุดเปลี่ยนให้ประเทศได้ทั้งหมด
โดยเฉพาะความชัดเจนจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อการเดินหน้าเข้าสู่บัญชีพรรคการเมือง จะส่งให้ทุกการตัดสินใจเต็มไปด้วย “แรงเสียดทาน” เพื่อก้าวไปสู่เก้าอี้นายกฯอีกครั้ง ท่ามกลางข้อครหาวางหมากสืบทอดอำนาจ ผ่านกลไกกติกาเลือกตั้งที่ คสช.ได้วางเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2562 จะมีเวทีเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ฐานอำนาจสำคัญที่มีงบประมาณบริหารหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เชื่อได้ว่ารัฐบาลชุดใหม่ในขณะนั้นจะหันทิศพุ่งเป้าเพื่อยึดสนามกทม. ปูทางระดับประเทศจนถึงการเมืองท้องถิ่น เพื่อ “กินหมาก” ทั้งกระดานแบบไร้รอยต่อ จากนั้นในช่วงปลายปี 2562 จะได้เห็นสื่อมวลชนสายทำเนียบรัฐบาล กลับมา “ตั้งฉายา” รัฐบาล-นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งอีกครั้งหลังจากว่างเว้นไป 4-5 ปี เพื่อสะท้อนการทำงานของรัฐบาลและผู้นำต่อการบริหารงานมาแล้ว 1 ปีจะพาประเทศไปสู่ทางออกได้หรือไม่
จุดหักเหจะอยู่ที่ผลการเลือกตั้งและกระบวนการ “เลือกนายกฯ” จะเป็นจุดเปลี่ยนประเทศ หากฝ่ายการเมืองเลือกจะเล่นเกมอำนาจ มากกว่ายึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองคงจะหนีไม่พ้นไฟแห่งความขัดแย้งที่พร้อมลุกโชนได้ทุกนาที !!
