จนถึงขณะนี้ยังคงต้องรอลุ้นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งประชุมกันในวันนี้ (11 ก.พ.) จะมีมติอย่างไร หลังมีผู้ยื่นร้องให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เนื่องจากอาจมีการกระทำผิดระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ในหมวด 4 ข้อ 17 ที่ระบุว่า ห้ามผู้สมัคร พรรคการเมืองหรือผู้ใด นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้งตามประเพณีต่างๆ
หากกกต.มีมติว่าพรรคไทยรักษาชาติกระทำความผิดจริง ก็จะมีโทษถึงขั้น “ยุบพรรค” ในขณะที่ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคนั้น ได้มีการกำหนดไว้ในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ในหลายมาตรา
เริ่มจาก มาตรา 92 ที่ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการฯมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า พรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
(1) กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญ
(2) กระทําการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
(3) กระทําการฝ่าฝืนมาตรา 20 วรรคสอง มาตรา 28 มาตรา 30 มาตรา 36 มาตรา 44 มาตรา 45 มาตรา 4 มาตรา 72 หรือมาตรา 74
(4) มีเหตุอันจะต้องยุบพรรคการเมืองตามที่มีกฎหมายกําหนด เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดําเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทําการตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
มาตรา 94 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้ยุบพรรคการเมืองใดแล้ว ให้นายทะเบียนประกาศคําสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นในราชกจิจานุเบกษา และห้ามมิให้บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองซ้ำ หรือพ้องกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น
รวมทั้งห้ามมิให้ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเหตุดังกล่าวไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหาร พรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่อีก ภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นถูกยุบ
ที่สำคัญหากมีคำสั่งศาลฯให้มีการเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ หรือที่เรียกกันว่าได้ “ใบดำ” นั้น ผู้ที่ถูกเพิกถอนจะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ตลอดไป
หรือเรียกได้ว่าผู้ที่ได้รับ “ใบดำ” ก็ประหนึ่งโดนประหารชีวิตทางการเมืองนั่นเอง เช่นนี้แล้วหากผู้ใดได้รับ “ใบแดง” ผู้นั้นก็จะได้รับ “ใบดำ” ไปด้วยโดยอัตโนมัติ และจะมีผลตลอดไป
นั่นคือแม้จะผ่านระยะเวลาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แล้ว ผู้นั้นย่อมสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ แต่จะไม่สามารถสมัคร หรือเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีกตลอดชีวิต