“สำนักงานอีอีซี” ตั้งเป้าเสนอรายชื่อเอกชนที่ชนะประมูล 5 เมกะโปรเจกต์ 6.5 แสนล้าน ให้ครม.อนุมัติครบทุกโครงการ ภายในเม.ย.นี้ คาดปีหน้าเม็ดเงินลงทุนเอกชนในอีอีซีแตะปีละ 3 แสนล้านบาท
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) แถลงผลงาน 2 ปีของสกพอ.ว่า ในส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 โครงการ ในพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่ารวม 6.5 แสนล้านบาทนั้น คาดว่าจะมีการเสนอรายชื่อเอกชนที่ชนะประมูลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติครบทุกโครงการภายในเดือนเม.ย.นี้ และลงนามสัญญาก่อนมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
ทั้งนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้ง 5 โครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ,โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา (MRO), โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก, โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
นายคณิศ กล่าวว่า สกพอ.จะผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 โครงการ มูลค่า 6.5 แสนล้านบาท ในระยะ 5 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งเร่งรัดการลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และโครงการลงทุนเกี่ยวเนื่องที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งคาดว่าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะมีการลงทุนจากเอกชนไม่มีต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท/ปี เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่าปีละ 1 แสนอัตรา และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวปีละประมาณ 2%
นอกจากนี้ สกพอ.จะเดินหน้ายกระดับการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยเฉพาะผังการใช้ที่ดิน การศึกษา งานวิจัยและเทคโนโลยี สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ปัจจัยพื้นฐาน น้ำ พลังงาน และการจัดวางแนวทางการพัฒนาพื้นที่พิเศษที่เป็นเขตเทคโนโลยีและเมืองอัจฉริยะ รวมถึงวางแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่แหลมฉบัง และเกาะสำคัญ เช่น เกาะสีชัง เกาะช้าง เกาะเสม็ด และสร้างระบบการกำกับดูแลการพัฒนาของมหานครการบินภาคตะวันออก
นายคณิศ ยังกล่าวว่า องค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) คณะกรรมการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะจัดสัมมนาร่วมกันที่กรุงเทพฯในวันที่ 2 เม.ย.นี้ โดยนำนักธุรกิจญี่ปุ่น 100 คน นักธุรกิจจีน 100 คน และนักธุรกิจไทย 100 คน เข้ามาพบปะกันและจับคู่ธุรกิจระหว่างนักธุรกิจไทย จีนและญี่ปุ่น เพื่อร่วมลงทุนในอีอีซี