คุมตัว 1 ใน 3 คนร้ายปล้นร้านขายของหลุดจำนำย่านเพชรเกษมทำแผน ด้านลูกจ้างเผยจำ น้ำเสียง-กลิ่นน้ำหอมได้ และผู้ก่อเหตุเคยเข้ามาซื้อทีวี
ความคืบหน้ากรณีคนร้าย 3 คน บุกปล้นร้านรับของหลุดจำนำ ย่านเพชรเกษม เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายนพอนันต์ ภูษิตรุ่งโรจน์ ผู้ต้องหาซึ่งเป็นหัวหน้าทีมได้ และคุมตัวฝากขังไปแล้วก่อนหน้านี้ และต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ค. เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นายวุฒิชัย ล้านเหรียญทอง คนร้ายที่ก่อเหตุเพิ่มได้อีก 1 ราย
ล่าสุด 8 พ.ค. 2562 เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวนายวุฒิชัย ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพจุดเกิดเหตุหน้าปากซอยเพชรเกษม 63 โดยเริ่มจากนายวุฒิชัย เข้ามาในร้านและนำปืนวางที่ตู้โชว์สินค้า โดยมีกระเป๋าเป้สีดำวางทับไว้ จากนั้นจึงเดินอ้อมเข้าไปในเคาท์เตอร์ก่อนบังคับให้พนักงานและเจ้าของร้านหมอบลง จากนั้นใช้อาวุธปืนตีเข้าศีรษะข้างด้านขวาของเจ้าของร้าน และหยิบทรัพย์สินภายในตู้ที่2 ใส่กระเป๋าก่อนจะหลบหนีขึ้นรถจักรยานต์ที่จอดไว้ห่างจากร้านกว่า 100 เมตร และไปแบ่งทรัพย์สินที่ซอยเพชรเกษม 83 และแยกย้ายกันหลบหนี ซึ่งหลังนำตัวนายวุฒิชัย มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจได้คุมตัวขออำนาจศาลอาญาธนบุรีฝากขังผัดแรกทันที
ด้าน พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากข้อมูลและพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ทราบว่านายนพอนันต์เป็นคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุ ได้หลบหนีไปที่บ้านญาติอำเภอเมืองจังหวัดชัยภูมิ จึงสืบสวนและสามารถจับกุมได้พร้อมของกลางบางส่วนและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ โดยนายนพอนันต์รับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายวุฒิชัย และนายต้น (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) ก่อเหตุดังกล่าว จนกระทั่งล่าสุดสามารถจับกุมนายวุฒิชัยพร้อมของกลางได้ที่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อย่านอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
ขณะที่ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า เบื้องต้นนายวุฒิชัยให้การรับสารภาพว่านายนพอนันต์ชักชวนให้มาร่วมก่อเหตุ ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหาในการให้การ แต่ตำรวจต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดก่อน สาเหตุที่ทำไปเพราะต้องการเงินไปใช้จ่าย ทั้งนี้ยังเหลือผู้ต้องหาอีก1ราย คือนายต้น ที่ยังหลบหนีอยู่บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี คาดว่าจะได้ตัวในวันนี้เพราะตำรวจอยู่ระหว่างลงพื้นที่ติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด
ทางด้านนางสาวจเรนี สุดแสง พนักงานในร้าน เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุนายนพอนันต์เคยเข้ามาซื้อสมาร์ททีวีแต่ใช้ไม่เป็น จึงให้พนักงานในร้านสอนอยู่เป็นเวลานาน จึงทำให้จดจำเสียงและกลิ่นน้ำหอมได้ นอกจากนี้ยังเป็นลูกค้าที่เคยนำแท็บเล็ตมาขายฝากกับทางร้าน ต่อมาวันที่ 25 เมษายนทำทีเข้ามาอ้างว่าใบฝากขายหาย และให้พนักงานค้นหาเอกสารให้ กระทั่งวันเกิดเหตุ นายนพอนันต์สวมหมวกกันน็อคเข้ามาโดยมีจุดสังเกตที่ทำให้จดจำได้คือ แววตา น้ำเสียง และกลิ่นน้ำหอม ทำให้รู้ว่าคนร้ายคือนายนพอนันต์
ส่วนนายศิริชัย อาศัยพาณิชย์ เจ้าของร้าน กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสอบสวนที่ติดจามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน และสามารถนำทรัพย์สินของกลางกลับมาคืนได้ประมาณร้อยละ80 ของที่ถูกปล้นไป นายศิริชัยบอกว่าขณะเกิดเหตุตนเองได้โยนกระเป๋าสตางค์ออกจากตัว เพื่อให้กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพคนร้ายได้ใกล้และชัดเจนที่สุด ถึงแม้นาทีนั้นจะเสี่ยงอันตรายก็ตาม สำหรับแนวทางป้องกันหลังจากนี้ทางร้านจะติดลูกกรงเหล็ก และก่อนจะเข้าร้านต้องถอดหมวกกันน็อค หมวกแก๊ป ออกก่อน
เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธ, ปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นเพื่อไม่ให้เห็นจดจำได้ในการกระทำความผิด, มีอาวุธเพื่อร่วมกระทำผิดตั้งแต่2คนขึ้นไป, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายทางร่างกายและจิตใจ ข่มขื่นใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยให้หวาดกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต, รับของโจร สำหรับของกลาง ตำรวจสามารถติดตามทรัพย์ที่ถูกปล้นไปคืนมาได้จำนวน 108 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท จาก 141 ชิ้น เช่น เครื่องเพชร ทองคำ นาฬิกาหรู