วันนี้เมื่อเวลา 10.00 น.นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ พร้อมด้วย สหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย แถลงข่าวร่วมกันในการยื่นญัตติด่วนเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการต่อสัมปทานทางพิเศษหรือปัญหาค่าโง่ทางด่วน
โดย นพ.ระวี กล่าวว่า ปัญหาความเสียหายของภาครัฐที่เสียให้กับบริษัทเอกชนจากการขยายสัมปทานระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ที่กำละงจะทำให้เกิดความเสียเป็นมูลค่ามหาศาล ตนก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ
นพ.ระวี กล่าวต่อว่า ตนได้ยื่นเรื่องนี้เพื่อเข้าสู่สภาพ เพื่อที่จะชะลอการตัดสินใจ และเข้าสู่กระบวนการการต่อสู้ได้ถูกนำเข้าคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา นั่นจะทำให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องเข้ามาตรวจสอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนครั้ง
ด้านนายบัณฑิต พรึงลำภู เลขานุการ สร.กทพ.ยืนยันว่า เราคัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอด วันนี้พวกเรามีความหวังมากขึ้นจากที่ผ่านมาเรามีสภาพไม่ต่างจากผีไปแล้ว วันนี้ตนก็อยากจะเข้ามาร่วมกับ นพ.ระวี เพื่อร่วมให้ข้อมูลแลเดินหน้าพิทักษ์สมบัติของชาติ
ตนก็ต้องขอขอบคุณ นพ.ระวี ที่ให้ความสนใจและเล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นที่เป็นการขยายสัมปทานเพื่อกลุ่มคน แต่ประชาชนคนไทยต้องมารับกรรมแทน
ด้านนายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ โฆษกพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่าจากการเข้าพบสหภาพแรงงาน กทพ.ได้มีการกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันและจุดยืนของทั้งสหภาพแรงงาน กทพ.และพรรคพลังธรรมใหม่ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการต่ออายุสัญญาสัมปทานทางด่วนทั้ง 3 สัญญาให้กับบริษัท BEM ออกไปอีก 30 ปี
โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นร่วมกันว่า บอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ต้องทบทวนมติการพิจารณาต่ออายุสัญญาสัมปทานที่อาจทำให้รัฐเสียหายทั้ง 3 โครงการให้กับบริษัท BEM เพื่อแลกกับข้อพิพาททางคดีมูลค่า 1.37 แสนล้าน
สำหรับแนวทางการต่อสู้ของพรรคพลังธรรมใหม่ มีจุดยืนและเป้าหมายสูงสุดคือปกป้องรักษาผลประโยขน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง และขอใช้ช่องทางกลไกตามระบบรัฐสภา ที่ทางพรรคได้ยื่นญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายในเรื่องนี้ดังที่ปรากฏตามข่าวไปแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา
พร้อมกับขอให้รัฐสภาพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญค่าโง่ทางด่วนอย่างเร่งด่วน เพื่อทบทวนมติของคณะกรรมการบอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้กับบริษัท BEM ออกไปอีก 30 ปี ใน 3 สัญญา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยตรง
ดังนั้น การดำเนินการใด ๆ ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องส่งรายได้เข้ารัฐ จะต้องดำเนินหรือการตัดสินใจและต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ตลอดจนการรับฟังผลการศึกษา ผลดี ผลเสีย และที่สำคัญคือต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส รอบคอบ ตรวจสอบได้
ดังนั้นในฐานะพรรคการเมืองซึ่งได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนในรัฐสภา ซึ่งจะต้องยึดหลักธรรมมาภิบาลความซื่อสัตย์ สุจริต มุ่งแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติอย่างสุดความสามารถ
ท้ายที่สุดทางพรรคมีความเชื่อมั่นว่าการยื่นญัตติด่วนขอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยใช้อำนาจหน้าที่ กลไกในระบบรัฐสภาได้ตรวจสอบโครงการดังกล่าว
จะนำมาซึ่งความถูกต้อง โปร่งใส ชอบธรรม เหนือสิ่งอื่นใดคือการสร้างบรรทัดฐานทางออกที่เป็นรูปธรรม มีเหตุมีผล เป็นแนวทางการศึกษาต่อไปในภายภาคหน้าถึงการใช้กลไกของรัฐสภาพิจารณารักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติร่วมกันอย่างถึงที่สุด