พบกับสถานที่ท่องเที่ยวมหัศจรรย์กับ “เจดีย์เอน วัดจันทาราม” อายุกว่า 300 ปีที่ จ.สุราษฎร์ธานี ไม่ล้มแม้ดินฐานรากจะทรุดตัว ด้านนายอำเภอท่าฉางเตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
สภาพเจดีย์เอนบริเวณหน้าอุโบสถวัดจันทาราม หมู่ที่ 4 ต.ท่าฉาง อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี แห่งนี้ แม้ฐานรากจะทรุดแต่ไม่โค่นล้มจนเป็นจุดสนใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมโบราณสถานเก่าแก่ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี อีกแห่งหนึ่งของ อ.ท่าฉาง โดยเจดีย์องค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบก่ออิฐไม่ถือปูน มีฐานล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 2 เมตร พื้นฐานล่างจมอยู่ใต้ดิน 1.5 เมตร สูงจากฐานถึงยอด 9 เมตร มีมุข 4 ด้านบนมุขจะมีซุ้ม 4 ซุ้มภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปรางประทานพรไว้ทั้ง 4 ด้าน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวไบรท์นิวส์ จ.สุราษฎร์ธานี ได้สอบถาม นายถาวร พรหมฉิม นายอำเภอท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี โดยกล่าวว่า เบื้องต้นได้ประสานกับ นายสุโข แก้วบัวทอง นายก อบต.ท่าฉาง อ.ท่าฉาง พร้อมชุมชนร่วมกันอนุรักษ์เจดีย์เอนวัดจันทาราม ซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าซุ้มประตูทางเข้าโบถซึ่งมีอยู่ 2 องค์ ซึ่งอีกองค์หนึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ และอีกองค์เป็นเจดีย์เอนที่ยังคงเป็นศาสนาสถานที่ยังทรงอยู่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมเอาไว้เกือบสมบูรณ์ ถือเป็นอีกสิ่งมหัศจรรย์ทางวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่งของ อ.ท่าฉาง ที่ยังมีให้เห็น ซึ่งบุคคลทั่วไปยังไม่ทราบว่ามีเจดีย์แห่งนี้อยู่ใน จ.สุราษฎร์ธานี นอกจากเจดีย์เอนแล้ว ภายในวัดดังกล่าวยังมีสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ ให้ได้เยี่ยมชม และเตรียมที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงโบราณสถานและวัฒนธรรม จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งใน จ.สุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงเข้าเยี่ยมชมความมหัศจรรย์ทางพุทธศาสนาต่อไป
ด้าน นายกิตติ ชินเจริญธรรม หัวหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติไชยา เปิดเผยว่า จากการสำรวจคาดว่าเป็นศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปลายกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุราว 300 ปี สันนิษฐานว่าพื้นที่แห่งนี้มีเจดีย์รวม 3 องค์ แต่พังแล้ว 1 องค์ก่อนที่จะเอาช้างมาวางแทน ส่วนอีกองค์มีการสร้างเจดีย์ทดแทนขึ้นใหม่ประมาณ 3 ปี และเจดีย์เอนที่เป็นเจดีย์เก่าแก่แต่ดินทรุดจนฐานรากเอนแต่ยังคงอยู่เพราะโครงสร้างภายใน ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินการส่งเรื่องไปยังกรมศิลปากรที่ 12 จ.นครศรีธรรมราช พิจารณาในการบูรณะตามสมควรเพื่อเป็นสมบัติของชาติ และเกิดประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน