เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไม่จบไม่สิ้น สำหรับคดีดังร็อคเกอร์ในตำนาน “เสก โลโซ” ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปปรับทัศนคติ พร้อมจับตรวจหาสารเสพติดจนพบว่าฉี่ม่วงดราม่ากันกระหึ่มโลกโซเชี่ยล ร้อนถึงนักร้องใจสั่งมา “เสก โลโซ” ต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่บ้านพักย่านสุขาภิบาล5 ว่าการตรวจพบฉี่ม่วงดังกล่าวของเจ้าตัว มาจากการรับประทานยารักษาอาการไบโพล่าร์ที่ตนป่วยอยู่เท่านั่นเอง
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวจากนักจิตวิทยาคนดัง “โค้ชเรย่า” เทรนเนอร์บำบัดจิตใต้สำนักระดับนานาชาติไทย-ออสเตรเลีย เจ้าของเพจดัง coach rayya ออกมาให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้ผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ เสมือนกับที่นักร้องฉาวคนดัง “เสก โลโซ” ที่กำลังเผชิญกับโรคนี้ พร้อมแนะเคล็ดลับและให้ความรู้เบื้องต้นวิธีการบำบัดให้โรคนี้อาการทุเลาลงได้คราวๆว่า
“สำหรับกรณีข่าวเสกโลโซ กับเรื่องของโรคไบโพล่าร์นั้น ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนว่า ไบโพล่าร์ คือโรคที่เซลล์ประสาทแตกขั้วออกมาส่งสารสื่อประสาทหลายทาง ถ้าเรียกศัพท์ทางไทยแล้ว คือ โรคอารมณ์แปรปรวน คนสองขั้ว กลุ่มสุดโต่ง คนติสต์ ก็ใช่ กลุ่มสัมผัสจิต ทรงเจ้า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย กลุ่มนี้คือกลุ่มไบโพล่าร์เกือบทั้งหมด แต่ถ้าถามเจ้าตัว ว่าเค้าเป็นไบโพล่าร์หรือไม่ เค้าจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะเจ้าตัวจะรู้ดีกว่าใคร ว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร แต่ตามในลักษณะของการแพทย์แผนตะวันตกแล้วนั้นอาการเหล่านี้คือ ไบโพล่าร์
แต่ถ้าหากจะให้พูดถึงโรคไบโพล่าร์ ในทางแพทย์แผนตะวันออก และ ทางการฝึกหายใจสมาธิ ศาสตร์ภาษาระบบประสาท (NLP, Hypnotherapy) โรคไบโพล่าร์ เกิดขึ้นจาก การที่กระแสไฟฟ้าเคมีทางสมอง (สารสื่อประสาท) ส่งสัญญาณเซลล์ ตามระบบประสาทสัมผัสรับรู้ของอดีต กับปัจจุบันผสมกัน สมองจำภาพอดีตเข้าใจว่าเป็นปัจจุบัน บ้างครั้งจะทำให้ก้าวร้าวง่าย เซลล์ถูกแตกเป็นสอง ถึงสาม ถึงสี่ขั้ว ส่งกระแสไฟฟ้าเคมีรวน ฉะนั้นปรับพฤติกรรมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรรับประทานยาภายใต้แพทย์สั่งด้วย
อันที่จริงสารสื่อประสาทเหล่านี้ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบมานานมากแล้ว มันคือสารทุกข์ สารสุข สารตื่นเต้น คุณรู้มั้ยว่า ถ้าทำได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ การได้ความรัก และ การกอดจากเพศตรงข้ามระยะเวลานาน เช่นทุกคืน เพราะความรัก จะช่วยเรื่อง คลื่นสมองที่ถูกปรับระดับ432 HZ ล้างพิษเยียวยา และสารสื่อประสาท ออกซิโทซิน โดพามีน และเซโรโทนิน ความรักมีค่ามากกว่า อาการความสุข เพราะความรู้สึกสุขจะได้เรื่องอุณหภูมิ การกอดจะได้เรื่องของการตั้งใจหายใจสอดคล้องกัน เมื่อจังหวะการหายใจ มีความถี่ที่สม่ำเสมอ อาการต่างๆทางกายจะเบาลง เพราะชีวิต คือ จังหวะความถี่และอัตราการเต้นของหัวใจ( ชีพจร) กระแสไฟฟ้าแห่งชีวิต ฉะนั้นผู้ที่มีอดีตที่เคยทุกข์รุนแรง สุขรุนแรง สมองจำ ภาพ หรือ สิ่งเร้าที่คล้ายอดีต (สมองรับรู้ข้อมูลถึง 400ล้านล้านบิต ต่อวินาที) อะไรมากระทบระบบประสาทสัมผัส หัวใจรู้สึก พอเกิดการกระทบและความรู้สึก หัวใจส่งสัญญาณไปที่ ต่อฮิปแคมปัส ต่อไปที่ไฮโปทาลามัส และพิทูทารี่ เมื่อถึงต่อมพิทูทารี่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหล่ะ เกิดอาการตอบสนองทันที ต่อมพิทูทารี่ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหมด เพราะเจ้าตัวนี้เป็นตัวควบคุมสัญญาณกระแสไฟฟ้าเคมี สารสื่อประสาท หรือที่เรียกว่า neurotransmitter สื่อกระแสไฟฟ้าเคมี ระหว่างเซลล์ประสาทส่งต่อไปอีกเซลล์ ก่อให้เกิดการทำงานของระบบอัตโนมัติ หายใจ ตื่นเต้น อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับชีพจร ความดัน อุณหภูมิของร่างกาย ร่างกายจึงเศร้าและร่าเริงตามสิ่งกระทบ เรียกว่าบางที่ MANIC บางที่ Depression
ข้อแนะนำง่ายที่สุดของการรักษาโรคไบโพล่าร์ที่อยากแนะนำ และให้ทำควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ จนสามารถลดขนาดยาได้คือ
1.ฝึกการหายใจอย่างถูกต้อง และนวดกดจุดสะท้อน เพื่อให้กระแสไฟฟ้าเคมีของร่างกาย ไหลเวียนได้ตามวงจรไฟฟ้า หรือ หมุนตามความถี่ที่คล้องกับจักรวาล
2.โค้ชปรับจิตใต้สำนึก อภัย ยอมรับ ละวาง ขอบคุณ เป็นเทคนิคที่ใช้วิธี การสร้างการรับรู้ของระบบประสาทสัมผัสใหม่ ให้สมองรับรู้ว่านี่อดีต นี่ปัจจุบัน สารสื่อประสาทได้หลั่งตามสภาวะปัจจุบันไม่ใช่อดีต
3.คนรักช่วยให้ความอบอุ่น ให้ความรัก กำลังใจ กอดและสัมผัสให้มาก
4.ฝึกสมาธิสมถะระดับลึก ช่วยเรื่องของ โดพามีน และคลื่นสมอง
5.ปฏิบัติธรรม วิปัสนากรรมฐาน กระทบ รู้ วาง เพื่อขจัดสิ่งเร้าไม่ให้เดินทางถึงสมอง หยุดที่ใจ ดูที่ใจ หยุดที่ใจ
6.ฟังคลื่นเสียง(คลื่นสมอง) ก่อนนอนจนหลับ เพื่อให้ความสั่นสะเทือนของร่างกายเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดัน การหายใจ ไม่กระโดด หรือ สะดุด
7.เปลี่ยนบรรยากาศ อยู่ในที่สงบ เพื่อให้สมองว่าง เงียบ สร้างความสมดุลให้สมอง เพื่อให้สมองเป็นกลาง ไม่ซ้าย(คิดมาก)หรือขวาเกิน(อารมณ์)
8.พูดกับตัวเองเสมอ ให้จิตอยู่ที่ตัว เมื่อรู้สึกเศร้าให้ดูภาพหรือหนังที่สนุก เมื่อสนุกเกิด ให้ตระหนักรู้ และบอกตนเองว่า ใจเย็นๆ ช้าๆ สบายๆ
9.ควรจดเสมอ เป้าหมายระยะสั้น 24 ชั่วโมง เช่น พับผ้าห่ม ออกกำลังกาย ติดตัวใหญ่ๆ เพื่อให้กลับมาดูได้ว่า ถึงเวลานี้ต้องทำอะไร เป็นการป้องกันอาการ อารมณ์แปรปรวนจากความจำในอดีต หรือ การกระทบจากสิ่งเร้า
10.ครอบครัวสำคัญมาก ความเข้าใจ เห็นใจ ไม่ใช่เข้าใจว่าป่วยนะ แต่เข้าใจในการกระทำของคนคนนั้น นี่เค้ากำลังสุข นี่กำลังทุกข์ นี่เค้ามีประสาทสัมผัสที่เซ้นซีทีฟนะ ไปที่ที่คนเยอะ อาจทำให้สมองรับไม่ไหว เครียดได้ สมองคนเหล่านี้คล้ายผู้ได้ฌาณระดับสูง แต่พวกเค้าไม่ได้มีสติ สมาธิ และปัญญา นอกจากจะปฏิบัติธรรม เพราะความที่ sensory disorder พอเห็นแสงสว่าง สายตาถูกเปิดกว้าง peripheral vision ระบบประสาทจักษุ ง่ายต่อการรับสิ่งเร้า จงพยายามให้ดูให้ฟังแต่สิ่งที่เป็นบวก หรือ เกี่ยวข้องกับเป้าหมายชีวิตคนคนนั้น ถ้าดูหรือฟังสิ่งไม่ดี มันจะเข้าไปฝังในจิตใต้สำนึกง่ายมาก กลุ่มนี้คล้ายกลุ่มฝึกกรรมฐาน 40 กอง (องค์ดาไลลามะเคยวิจัยเกี่ยวกับคลื่นสมอง) ถ้าพวกเค้าใช้ชีวิตแบบพระ จะโอเคมาก ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็ต้องกลายเป็นไบโพล่าไป เพราะยากต่อการควบคุมสิ่งเร้าภายนอก และ อารมณ์ภายใน ( ความรู้สึก) เปลี่ยนบรรยากาศได้ยิ่งช่วยได้มาก
การโค้ชจิตใต้สำนึกและการทำสะกดจิตบำบัด ทำให้คน คนหนึ่งสามารถเปลี่ยนอารมณ์และความจำ ในอดีต ทำให้ต่อมฮิโปแคมปัสค่อยๆปรับระบบ อดีต ปัจจุบัน อนาคต และสามารถเชื่อมระบบประสาทให้สนองต่อสภาวะปัจจุบันได้
จากนั้นการฝึกอยู่กับปัจจุบัน มีสติเสมอ ตามหลักของศาสนาพุทธ ทำใจให้กลาง ทำสมองให้ว่าง ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการฝึกสมองและใจตนเอง เพราะเราสามารถควบคุมตัวเองได้ หยุดฟังคำวิจารณ์รอบข้าง แต่ให้ฟังเสียงหัวใจตัวเองค่ะ
สุดท้ายที่อยากฝากคือ สาวสาวหรือหนุ่มหนุ่มนักเก็บแต้ม จำไว้เลยนะ หักอกคนหนึ่งครั้ง เค้าอาจประสบกับโรคทางจิตใจไปตลอดชีวิต ในขณะที่คุณมองว่า ผ่านแล้วผ่านเลยไป กรรมหนักทีเดียว หยุดทำกรรม หยุดเจ้าชู้ หันมาเห็นใจกันและกันเมตตากัน คือสิ่งที่ดีที่สุดที่คนรักกันควรมองให้กัน อาการเหล่านี้โค้ชเรย่าผ่านมาหมดด้วยตัวเอง และดีขึ้นด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยคุณได้ดีที่สุดนอกจากตัวคุณเอง รักตัวเองให้มาก
