หลังจากมีข่าวว่า “ไทด์ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ตัดสินใจหย่ากับภรรยา “ยุ้ย คนึงนิจ ศิริพงษ์ปรีดา” ล่าสุด หนุ่มไทด์ ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องราวดังกล่าวแล้วว่า ตนและภรรยาเตรียมไปหย่ากันในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก่อนวันวาเลนไทน์เพียง 1 วัน
อีกทั้งยังบอกอีกว่า ” ที่ครอบครัวตนไม่ประสบความสำเร็จ มันเกิดจากอะไรหลาย ๆ อย่าง ครอบครัวของตนเมื่อก่อนที่ยังดีกันอยู่นั้น มันดูน่ารัก แต่เมื่อมา ณ จุดหนึ่งแล้ว มันเหมือนกับเราหมางเมินกัน จนกลายเป็นความแหนงหน่าย ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาตลอด 3 ปี ก่อนหน้านี้เราเองก็เกือบแยกกันแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน แต่มีผู้ใหญ่มาเคลียร์ให้ แต่จากนั้นแค่ไม่ถึงปี มันก็มีความรู้สึกเดิมเกิดขึ้นมาอีก เราก็รู้สึกว่า เราหมดใจกันแล้ว และไม่กลับมาแล้ว”
“ถึงกระนั้น เราก็รอให้ลูกอายุมากขึ้นเพื่อให้ลูกเข้าใจ เพื่อที่เราจะขอใช้ชีวิตของใครของมัน แต่เราก็ยังดูแลลูก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้กัน 2 คนเท่านั้น อย่าไปเอาคนอื่นมาเกี่ยวข้อง ครอบครัวของเราแยกกันอยู่ แยกกันนอนมา 3 ปี เราไม่มีเพศสัมพันธ์กันมาเกือบ 3 ปี บางครั้งต้องนอนด้วยกันเพื่อให้ลูกเห็นว่าพ่อกับแม่ยังรักกันอยู่ ลูกเองเขาก็คอยดู แต่พอถึงวันหนึ่ง ตนก็เป็นฝ่ายบอกว่าแยกกันอยู่ดีกว่า เมื่ออธิบายให้ลูกฟังลูกโอเค ลูกไม่อยากให้พ่อทำงานแล้วกลับบ้านมาหน้าเครียด ถ้าพ่อมีความสุข ลูกก็พร้อมที่จะร่วมสุขกับพ่อ
“ส่วนข่าวเรื่องมือที่สามนั้น เหมือนกับเราไปบอกภรรยาว่า เราเลิกกันดีกว่า เพื่อให้ต่างคนต่างไปเจอคนที่ดีกว่า แต่ไม่นานจากนั้นตนก็ได้ไปคุยกับคนอื่น แล้วเรื่องนี้ไปถึงหูของอดีตภรรยา ทั้งที่ตลอด 3 ปีตนไม่มีอะไรกับภรรยาเลย ตนชัดเจนอยู่แล้ว ตนบอกกับภรรยาว่าขอเลิก และบอกกับสาวคนใหม่ว่าตอนนี้แยกกันอยู่กับภรรยา เรื่องนี้ไม่มีอะไรคลุมเครือ”
“อีกอย่าง ตนทำงานทุกวัน ละคร 5 เรื่องพิธีกร 5 รายการ จนไม่มีเวลาให้เขา เขาก็เลยงอน และไม่ได้ง้อกัน บางทีตนกลับมาตี 2 ตี 3 ก็อยากกินน้ำกินข้าว มันก็ไม่มี จนวันหนึ่งเขาย้ายไปนอนข้างล่างเกือบปี จนตนเอาตัวออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่เสาร์-อาทิตย์ ยังมาเจอกัน ส่วนเรื่องการดูแลลูกนั้น ลูกอยู่กับคุณแม่ 4 วันอยู่กับตน 3 วัน”
อย่างไรก็ตาม เราตัดสินใจว่าจะหย่ากันเมื่อเดือนธันวาคม 2559 และจะทำเรื่องหย่าให้เสร็จสิ้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 ตอนนี้เขาเองก็เข้าใจว่า มันไม่มีประโยชน์ที่จะเหนี่ยวรั้งกันไว้ เพราะถึงอย่างไรเราก็ต้องแยกกันอยู่อยู่แล้ว เขาเองฝากบอกลูกมาว่าพร้อมแล้ว ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติใด ๆ นั้น ตนจะเป็นฝ่ายดำเนินการ
“เราใจหายเหมือนกัน อยู่กันมา 12 ปี เราก็ภาวนาให้ชีวิตเขาเจริญรุ่งเรือง ไปเจอคนที่รักเขา มีเวลาให้กับเขา เขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่มีอะไรเสียหาย
ขอบคุณข้อมูลจาก ทีวีพลู