ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือพร้อมเอกสาร ต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคดีครูจอมทรัพย์
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางเข้ามายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ นายวิศิษฏ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กรณีที่มีการรื้อฟื้นคดีของครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ผู้ต้องหาในคดีขับรถชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ว่าขอให้ตรวจสอบเนื่องของกระบวนการรับจ้างติดคุก และกระบวนการขอรื้อฟื้นคดี ซึ่งมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรมท่านหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ
นายอัจฉริยะ ยื่นหลักฐานว่า ครูจอมทรัพย์นั้นเป็นผู้กระทำความผิดจริง ไม่ได้เป็นแพะตามที่มีการขอรื้อฟื้นคดี และ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ก็ทราบตั้งแต่แรกว่ามีการรับจ้างติดคุกจริง โดยการสอบปากคำนายสับ วาปี ตั้งแต่ครั้งแรกทราบว่า นายสับ วาปี รับจ้างเป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท และรับเงินไปแล้ว 200,000 บาท
สำหรับหลักฐานทั้งหมดที่นายอัจฉริยะ นำมายื่นในวันนี้ เป็นเอกสารของทางราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ตรวจพิสูจน์รถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บค56 สกลนคร คันที่ก่อเหตุ คือ สถาบันพระจอมเกล้าธนบุรี กรมการขนส่งทางบก และบริษัท โตโยต้า โดยสถาบันเทคโนโลยี บอกผลจากการตรวจสอบแผ่นป้ายทะเบียนที่ส่งตรวจสอบว่า ไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชน ซึ่งเมื่อนำภาพป้ายทะเบียนจาก 12 ปีที่แล้ว บอกว่าเป็นไปได้ว่าจะมีการชนเนื่องจากมีรอยแตกของสีตรงเลข 5 และรูน็อตบนแผ่นป้ายทะเบียนที่กระทรวงยุติธรรมนำไปให้ตรวจสอบ กับภาพจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อ 12 ปีที่แล้วไม่ตรงกัน สอดคล้องกับกรมการขนส่งทางบก ว่าครูจอมทรัพย์ได้ไปแจ้งป้ายทะเบียนหายและขอป้ายทะเบียนใหม่
ส่วนทางโตโยต้า แถลงผลการตรวจสอบว่ามีการเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถในจุดที่มีรอยชน คือบริเวณมุมซ้ายด้านหน้าของรถยนต์คันดังกล่าว และทั้ง 3 หน่วยงานสรุปมาว่า ไม่สามารถตรวจพบรอยเฉี่ยวชน ซึ่งขัดกับการแถลงข่าวของรองปลัดดุษฎี ว่าตรวจไม่พบรอยเฉี่ยวชน ดังนั้นรถกระบะคันที่รองปลัดดุษฎีส่งไปให้ทั้ง 3 หน่วยงานทดสอบนั้น มีการสวมทะเบียนและเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถ
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังบอกอีกว่า ครูอ๋อง หรือนายสุริยา นวลเจริญ เป็นหัวหน้าขบวนการรับจ้างหาคนมาติดคุก ซึ่งรองปลัดดุษฎี ก็ได้แถลงข่าวว่าทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีการรับจ้างติดคุก แต่ทำไมจึงยังนำงบประมาณแผ่นดิน มาใช้ในการรื้อฟื้นคดี
ด้านนายวิศิษฏ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้วในเรื่องดังกล่าว ตอนนี้จึงยังไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องข้อเท็จจริงได้ เมื่อกรรมการมีข้อพิสูจน์อะไรขึ้นมาต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ซึ่งก่อนที่จะมีความเห็นในการรื้อฟื้นคดี ได้มีการวางระบบเพิ่มเติมว่าจะต้องมีคณะกรรมการคนใดมาเพิ่ม ไม่ใช่การทำงานของคนใดคนหนึ่ง ขณะนี้ได้มีการปรับระบบการรับเรื่อง ว่าให้ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม หรือ สบร. เป็นผู้รับเรื่อง และเป็นคนกระจายเรื่องให้หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม หากเป็นเรื่องการรื้อฟื้นด้านกฎหมาย ก็จะมีกรมคุ้มครองสิทธิ์ หากเป็นการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ก็จะไปที่ กองการเจ้าหน้าที่ หรือ กจ. ในส่วนของการดำเนินการบุคคลอื่น ก็อาจจะมีดีเอสไอเข้ามาสอบสวน ถึงกลไกที่เกี่ยวข้องในระหว่างการดำเนินงาน