คืบยึดเงิน 98 ล้าน ระบุชัดเป็นเงินในธุรกิจแหล่งที่มาไม่ชัดเจนที่ประเทศลาว ขณะที่ 2 พี่น้องยืนยันขอระงับคดีในชั้นศุลกากร ยอมจ่ายค่าปรับ ส่วนที่เหลือยกให้เป็นทรัพย์สินแผ่นดิน
นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย เปิดเผยรายละเอียดภายหลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. สอบปากคำนายสุบัน เตียสิริ และนายคำบอน เตียสิริ สองพี่น้องชาวลาว โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนยังยืนยันว่าเป็นการรับแลกเงิน ซึ่งเป็นเงินของสมาชิกในครอบครัว โดยพร้อมที่จะยกของกลางเงินสดทั้งหมด 98 ล้านบาทให้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งทางศุลกากรหนองคายจะส่งเรื่องการขอระงับคดีไปยังกรมศุลกากร เพื่อลงความเห็น โดยสรุปได้ว่าเป็นเงินที่มาจากการทำธุรกรรมสีดำจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งนำเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินไทยกลับไปอย่างปิดลับ เพราะเงินไทยในลาวสามารถใช้ได้ทุกแห่งทุกโอกาส
ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินการระงับคดีด้วยการส่งเรื่องเข้ากรมศุลกากรให้พิจารณาโดยด่วน ซึ่งตามหลักของการแลกเปลี่ยนเงินมีอัตราโทษที่กำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า หากนำเงินเกิน 450,000 บาท แต่ไม่เกิน 2 ล้านบาท ออกนอกประเทศ อัตราโทษปรับ 20,000 บาท คืนเงินให้ผู้ต้องหาไป 2 ล้านบาท กรณีนี้ก็จะเป็นโทษปรับรวม 40,000 บาท คืนเงินให้ผู้ต้องหาไม่เกิน 4 ล้านบาท หรือประมาณ 3,960,000 บาท ที่เหลือ 94 ล้านบาทต้องยกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนอกจากนี้ พบว่าทั้งสองคนมีบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราจริง จึงสามารถเก็บรวบรวมเงินดอลลาร์นำมาแลกเป็นจำนวนมากได้ แต่ยังไม่ได้ชื่อที่ครบถ้วน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเปิดบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินเพื่อบังหน้า เพื่อปิดบังบางอย่างลักษณะเหมือนโพยก๊วน ซึ่งเป็นเงินไม่มีที่มาที่ชัดเจน ขณะเดียวกันทั้งสองคนยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้โดยไม่มีกำหนด จนกว่ากรมศุลกากรจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับคำสั่งระงับคดีของศุลกากรหนองคาย หรือสั่งเป็นอย่างอื่นจึงเป็นที่ยุติของคดี หากกรมศุลกากรรับคดีก็จะมีการเปรียบเทียบปรับ ที่ด่านศุลกากรหนองคายได้ทันที ส่วนเงิน 98 ล้านบาท จะนำไปฝากเก็บไว้ที่ธนาคารในวันพรุ่งนี้
ขณะเดียวกัน พบว่าผู้ต้องหาทั้งสองได้เดินทางเข้าออกประเทศมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งล่าสุดได้นำเงินดอลลาร์เข้ามาขาย จำนวน 8 แสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ส่วนครั้งนี้จำนวน 2.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉลี่ยแล้วจะนำเงินดอลลาร์มาขายสัปดาห์ละครั้ง จากงานการข่าวและประมวลแล้วแต่ละครั้ง จะนำเงินบาทไทยออกไปไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท