เรื่องราวการทุจริตเงินทอนวัดที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ยังคงมีข้อมูลเชิงลึกออกมาเรื่อยๆ ล่าสุด มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีเงินทอนวัด เผยข้อมูลสำคัญของวัดสระเกศ ที่มีอดีตพระพรหมสิทธิเป็นเจ้าอาวาส ที่ตอนนี้ถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำ ว่า พระพรหมสิทธิได้เบียดบังงบประมาณที่สำนักพุทธศาสนาให้มาเพื่อการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่วัดสระเกศทำเรื่องของงบประมาณ ไปเป็นของตนเองโดยผ่านฆราวาสและมีการเปิดมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลบังหน้า
สำหรับการทุจริตงบประมาณสำนักพุทธศาสนาของวัดสระเกศ ต่างไปจากเงินทอนวัด ล็อต1และ2 โดยชุดคลี่คลายคดีมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการทุจริตที่เข้าข่ายการฟอกเงิน ที่ผ่านมาวัดสระเกศฯ รับงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พศ. 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท โดย พศ. จ่ายเป็นเช็คเมื่อเดือนธันวาคม 2558 ส่วนครั้งที่2 ได้รับงบประมาณอีกจำนวนเงิน 32.5 ล้านบาท จ่ายเงินเข้าบัญชีเมื่อเดือนมกราคม2559 ทั้ง2โครงการ วัดได้ทำแผนเสนอไปที่ พศ. เป็นแผนอุดหนุการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนอุดหนุนศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา รวม 2 โครงการ 62.5 ล้านบาท
สำหรับรายละเอียดของโครงการ ชุดคลี่คลายคดีได้เอกสาร ระบุทั้ง 2 โครงการนำไปอุดหนุนให้วัดสาขา 13 แห่ง แต่มีเพียง 4 วัดเท่านั้น ที่ได้ งบประมาณ แห่งละ 2 ล้านบาท รวมกันแล้ว 8 ล้านบาท ได้แก่
ขณะที่อีก9วัดที่เหลือไม่ได้รับงบประมาณแม้แต่บาทเดียว ได้แก่
คำถามคือ แล้วเงินหลวงอีกกว่า55ล้านบาท หายไปไหน
ในเรื่องดังกล่าว ชุคลี่คลายคดีตรวจสอบพบว่า อดีตพระพรหมสิทธิ ได้ยักย้ายถ่ายเทไปยังบัญชีของ นางสาวนุชรา สิทธินอก คนในบ้านของ นางฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา เจ้าของ ห้างหุ้นส่วนจำกัดดีดีทวีคูณ สีกาคนสนิทของอดีตพระพรหมสิทธิ เพื่อให้ผลิตสื่อโฆษณาให้กับวัด
เมื่อตรวจสอบเชิงลึก พบว่า เงินถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรจะถูกจัดส่งไปยังวัดจำนวน 9 วัด เพื่อให้พระเณรในต่างจังหวัดที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือตามที่วัดเขียนโครงการมาซึ่งระบุว่าจะส่งเงินไปยังโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นเงินค่าใช้จ่ายประมาณ 26,000 บาทต่อพระ 1 รูป รวมทั้งสองโครงการเป็นเงิน 62.5 ล้านบาท
สำหรับรูปแบบการทุจริตเงินวัดของ วัดสระเกศ วัดสัมพันธวงศ์ฯ และวัดสามพระยาวรวิหาร ต่างจากการดำเนินคดีเงินทอนวัดในครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะพระไม่ได้โอนเงินกลับไปยังเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ แต่กลับถูกโอนเข้าบัญชีของฆราวาส บัญชีตัวเอง หรือมูลนิธิฯบางแห่ง ในรูปแบบของการฟอกเงิน ซึ่งตัวพระเป็นผู้ที่กระทำทุจริตด้วยตัวเอง