สนช.เสนอร่าง พ.ร.บ. ยาเสพติดปลดล็อก “กัญชา” เป็นยา ให้รัฐบาล-สธ.พิจารณา 30 วัน ขณะที่ คกก.ยาเสพติดฯ ส่งกฤษฎีกาตีความ ยกระดับ “สารสกัดกัญชา” เป็นยาได้หรือไม่
ที่ประชุม สนช. มีมติเสนอ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ต่อรัฐบาลแล้ว เพื่อให้พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ปลดล็อกให้ กัญชาสามารถใช้เป็นยารักษาโรคได้ โดย นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรัฐบาล กล่าวว่ารัฐบาลจะนำร่างกฎหมายที่ สนช. เสนอ วันนี้ไปพิจารณา ภายใน 30 วัน ก่อนเสนอเป็นร่างกฎหมาย กลับมายัง สนช. พิจารณารับหลักการในวาระที่ 1 ตามกระบวนการต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 กำหนดให้สามารถขออนุญาต ผลิต นำเข้าหรือส่งออก ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งประกอบด้วยกัญชา และกระท่อม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์สามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคเฉพาะตัวได้ เช่นเดียวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 2 แบบฝิ่น โดยให้ ป.ป.ส. สามารถกำหนดพื้นที่สำหรับทดลองเพาะปลูกกัญชา และเสพกัญชา เพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ในปริมาณที่กำหนด โดยไม่ถือว่ามีความผิดกฎหมาย ซึ่งการกำหนดพื้นที่ดังกล่าวจะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกามีมาตรการตรวจสอบควบคุม
สำหรับผู้ที่จะสามารถอนุญาตครอบครองกัญชาได้นั้น ประกอบด้วย กระทรวง องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สภากาชาดไทย องค์กรเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์สาขาต่าง ๆ ทั้ง ทันตกรรม สัตว์แพทย์ แพทย์แผนไทย เป็นต้น โดยผู้ขออนุญาตจะต้องไม่เคยต้องโทษตามกฎหมายยาเสพติดมาก่อน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเป็นผู้พิจารณาอนุญาตตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ
**สธ.ไม่ชัวร์เปลี่ยนเป็นยา ส่งตีความกฏหมาย
ส่วนที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.พิศิษฐ์ ศรีประเสริฐ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เพื่อพิจารณายกระดับสารสกัดกัญชาจากยาเสพติดประเภท 5 เป็นประเภท 2 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม แต่ไม่เปิดให้สื่อมวลชนเข้ารับฟัง โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการประชุม
นพ.พิศิษฐ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ทุกฝ่ายต่างเห็นด้วยที่จะให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่เพื่อความปลอดภัยจึงต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งการออกประกาศเพื่อยกระดับสารสกัดและน้ำมันกัญชาจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เป็นประเภท 2 อาจจะต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน ส่วนร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 44 ท่าน 17 มาตรา สธ.พิจารณารายละเอียดแล้ว เห็นว่ามีประโยชน์ ส่วนคณะอนุกรรมการที่จะพิจารณาผลิตภัณฑ์จากกัญชาและวิธีการใช้ จะเปิดกว้างรับผู้มีความรู้ที่หลากหลายให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
**ส่งกฤษฎีกาตีความ “กัญชา”
นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการ อย. กล่าวว่า ประเด็นการยกระดับสารสกัดจากกัญชา น้ำมันกัญชา รวมถึงสาร CBD THC จากยาเสพติดประเภท 5 เป็นประเภท 2 นั้น มีผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายให้ความเห็นว่า กัญชาเป็นยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จึงเสนอว่า ควรต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน ว่าสามารถทำได้หรือไม่ มิเช่นนั้นหากออกกฎหมายไปแล้ว ประกาศอาจจะไม่มีผล ซึ่ง อย.จะเร่งทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา หากย้ายใบและดอกกัญชามาเป็นยาสเพติดประเภท 2 ด้วยได้หรือไม่ เพราะหากทำได้จะเป็นผลดี ซึ่งขึ้นกับทางคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าจะใช้เวลาในการพิจารณานานเท่าใด แต่หลังจากพิจารณาแล้วต้องส่งกลับเข้ามายังคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยจะมีการประชุมอีกครั้งในเดือน ธ.ค.
“สิ่งที่ต้องทำคู่ขนานคือ ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ฉบับเสนอที่ สนช.เสนอนั้น อย.และทีมกฎหมายของ สธ.วิเคราะห์แล้วว่า เป็นร่างกฎหมายหลักการเดียวกัน ในการนำกัญชาและกลุ่มยาเสพติดประเภท 5 ไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นใบ ดอก หรือสารสกัด สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด และเปิดช่องให้วิชาชีพที่เกี่ยวของ เช่น แพทย์แผนไทย สามารถใช้ได้ด้วย เป็นการแก้ปัญหาตรงจุด แต่จะเป็นต้องออกกฎกระทรวง เพื่อเป็นหลักเกณฑ์วิธีการใช้ต่าง ๆ โดย รมว.สธ.ได้มอบหมายให้ทีมกองควบคุมวัตถุเสพติดเร่งยกร่าง เมื่อกฎหมายใหญ่ออกมาจะสามารถดำเนินการได้ในเวลารวดเร็ว ซึ่งเข้าใจว่า พ.ร.บ.ฉบับ สนช.จะเข้าสภาสัปดาห์หน้า ไม่น่าเกิน 1 เดือนก็สามารถออกกฎหมายได้” นพ.ธเรศ กล่าวว่า
