ทปอ. ถกหาทางออกปมยื่นบัญชีทรัพย์สินรอบ 2 สถาบันอาชีวศึกษา-วิทยาลัยชุมชนเข้าข่ายต้องยื่นบัญชีด้วย คาดปลายเดือน พ.ย.นี้จะรู้ตัวเลขแน่ชัดกรรมการสภามหาวิทยาลัยลาออกจากตำแหน่ง
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวภายหลังการประชุมเพื่อหารือถึงประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ร.บ. พ.ศ. 2661 เป็นครั้งที่ 2 โดยมีตัวแทน ทปอ. ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.) ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ทปอ.มทร.) อธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ สถาบันอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) และ สถาบันวิทยาลัยชุมชน(วชช.) เข้าร่วมหารือว่า หลังจาก ป.ป.ช. ขยายเวลายื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แก่นายก และกรรมการสภามหาวิทยาลัย รวมถึงตำแหน่งประธานสภา รองประธานสภา และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ออกไปอีก 30 วัน จากเดิมต้องยื่นในวันที่ 2 ธ.ค. 2561 เป็นในวันที่ 31 ม.ค. 2562 ขณะนี้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ในส่วนของสถาบันอุดมศึกษา อธิการบดีและรองอธิการบดีไม่ยินยอมยื่นบัญชีทรัพย์สินตามที่กำหนด ซึ่งตั้งแต่ปี 2560 กฏหมายกำหนดให้อธิการบดีและรองอธิการบดีต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ที่ผ่านมา ทปอ. มีเจตนารมณ์ชัดเจน สนับสนุน ป.ป.ช. ให้อธิการบดีและรองอธิการบดียื่นบัญชีทรัพย์สินจึงอยากสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้กลุ่มสถาบันอาชีวะและวิทยาลัยชุมชนได้เข้าร่วมหารือด้วยเพราะเพิ่งทราบว่าจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขนายกและกรรมการสภาที่ลาออกจากตำแหน่งอย่างชัดเจน แต่มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยพยายามขอให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ช่วยมหาวิทยาลัยต่อไป คาดว่าจะรู้ตัวเลขที่ชัดเจนช่วงปลายเดือน พ.ย. หลังจากมีการประชุมสภามหาวิทยาลัยไปแล้ว ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ทปอ. จะประสานขอเข้าพบคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพื่อหาที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาต่อไป” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว
**อาชีวะ-วิทยาลัยชุมชนต้องยื่นด้วย
ด้าน นายจิตรนรา นวรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานคณะปราบปรามการทุจริตภาค 2 กล่าวว่า ตามประกาศ ป.ป.ช. ได้กำหนดว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามประกาศ ซึ่งรวมถึงผู้บริหารที่มีตำแหน่งเทียบเท่าด้วย ซึ่งาม พ.ร.บ. การอาชีวศึกษา กำหนดว่า ผู้อำนวยการสถาบันอาชีวศึกษา เป็นตำแหน่งที่เทียบเท่ากับอธิการบดี รวมถึงรองผู้อำนวยการสถาบันอาชีวศึกษาก็เป็นฝ่ายบริหาร กลุ่มนี้น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินแต่ก็ยังมีอีกหลายตำแหน่งที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองว่าอยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องยื่นบัญชีด้วย เช่น นายก และกรรมการสภาสถาบันอาชีวศึกษา 23 แห่ง รวมถึงของวิทยาลัยชุมชนด้วย เชื่อว่าหลังจากนี้กลุ่มอาชีวศึกษาจะออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งแม้สถาบันอาชีวศึกษาจะมีสถานะเทียบเท่าสถาบันอุดมศึกษา แต่บทบาทของ นายกและกรรมการสภาสถาบันอาชีวศึกษา มีหน้าที่ดูเรื่องทางวิชาการเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ รวมถึงการโยกย้ายผู้บริหาร เพราะอำนาจส่วนนี้ถูกกำหนดไว้ที่ส่วนกลาง คือ สอศ. ดูแล ดังนั้น จึงเป็นอีกกรณีที่ ป.ป.ช.จะต้องทบทวนด้วย