จักษุแพทย์เตือน! กินยาแก้ “นกเขาไม่ขัน” เสี่ยง “ฟ้าเหลือง” จากเซลล์รับภาพเสื่อม ตามัวถาวร เพราะขั้วประสาทตาขาดเลือด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว
ผศ.นพ.ณวพล กาญจนารัณย์ อาจารย์สาขาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงผลกระทบจากการใช้ยาแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่มีผลต่อดวงตา ว่า การใช้ยาซิลเดนาฟิล รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว เพื่อแก้ปัญหาการไม่แข็งตัวขององคชาติ แต่ยาดังกล่าวมีผลกระทบต่อเซลล์รับภาพและสีของดวงตา ทำให้เซลล์รับภาพเสื่อมลงไปชั่วคราว จนมองเห็นสีที่ผิดเพี้ยนไป โดยเฉพาะสีน้ำเงินและสีเหลือง โดยจะเห็นสีเหลืองมากขึ้น แต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ลงไปก็จะกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม หากพบว่าใช้ยาดังกล่าวแล้วเกิดการมองเห็นสีที่ผิดเพี้ยน ขอให้มาพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจประเมิน เนื่องจากบางคนอาจมีปัญหาเซลล์รับภาพไม่ดีอยู่แล้ว เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ก็ยิ่งเสื่อมเร็วผิดปกติ การใช้ยาดังกล่าวยิ่งทำให้เซลล์เสื่อมลงยิ่งขึ้น จนเกิดปัญหาการมองเห็นขึ้นได้ จากการติดตามคนที่กินยานี้อย่างต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน พบว่า เจอปัญหามองเห็นสีผิดเพี้ยนจาก 3 คนใน 200 คน หรือประมาณ 0.1% ที่มีความผิดปกติ แต่ในกลุ่มผู้สูงอายุหรือคนมีโรคประจำตัวที่มีความเสื่อมของเซลล์อยู่แล้ว และส่วนใหญ่ใช้ยารักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นจากการใช้ยานี้
“มีรายงานอีกเรื่องที่ยาดังกล่าวทำให้เกิดผลกระทบต่อดวงตาได้ คือ ทำให้ขั้วประสาทตาขาดเลือด ซึ่งพบได้น้อย เพียง 2.8 ต่อแสนคน แต่เป็นอาการที่รุนแรง โดยจะทำให้เกิดปัญหาตามัวอย่างถาวร และการรักษาไม่ทำให้กลับมามองเห็นชัดตามเดิมได้ ซึ่งกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เส้นเลือดไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งมีการใช้ยาดังกล่าวร่วมด้วยก็เพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นทำให้เลือดไปเลี้ยงขั้นประสาทตาน้อยลง จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยานี้อย่างมาก ซึ่งแพทย์ที่สั่งจ่ายยาจะทราบความเสี่ยงในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะยาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดวงตาเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น ขอย้ำว่าผู้ที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ อย่าซื้อยามารับประทานเอง ต้องให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการใช้ยามีความเสี่ยงทั้งต่อดวงตาและอวัยวะอื่นด้วย” ผศ.นพ.ณวพล กล่าว