“หมอธี” แจงไม่ค้านโรงเรียนเอกชนระดมทุน แต่ค้านเข้าตลาดหุ้น ขณะที่ สช. รอฟังศาลปกครองวินิจฉัย 7 ธ.ค. เตรียมศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงกรณี บริษัท เอสไอเอสบี (SISB) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต.) ว่า โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่รัฐบาลเป็นผู้ส่งเสริมการศึกษา โดยโรงเรียนเอกชนเหล่านี้ไม่ได้กำไรมาก ส่วนใหญ่ขาดทุน มีเพียงกลุ่มโรงเรียนนานาชาติที่ได้กำไร ซึ่งรัฐบาลส่งเสริมเพราะถือว่าจัดการศึกษาให้นักเรียน เมื่อเกิดกรณีที่โรงเรียนเอกชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ และต้องแยกให้ออก ว่าที่ออกมาค้านนั้น ไม่ได้ค้านเรื่องการระดมทุน แต่ค้านการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะคนที่เข้ามาซื้อหุ้นเพราะอยากส่งเสริมการศึกษาหรืออยากได้กำไร ต้องตอบให้ชัดเจน อย่ามองว่าค้านผิดประเด็น ศธ.ไม่ได้ค้านการระดมทุนเพื่อจัดการศึกษา และผมในฐานะ รมว.ศึกษาธิการ ไม่สามารถห้ามหรือคุมได้ เพราะเขาเป็นบริษัทเอกชน อีกทั้งใน พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 กำหนดไว้ชัดเจนว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีอำนาจในการกำกับค่าเรียนและห้ามให้โรงเรียนค้ากำไรเกินควร แต่ส่วนใหญ่ได้ใช้อำนาจในการไปลดค่าเล่าเรียน
“ที่ผ่านมาไม่เคยเจอกรณีนำโรงเรียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเกิดขึ้น กระทรวงการคลังน่าจะเก็บภาษี ซึ่งได้ยินว่าทางโรงเรียนเอกชนเชิญให้เก็บภาษีตามสบาย ถ้าเป็นแบบนี้จริงต้องมาคิดกันใหม่ว่าต้องทำอย่างไร ขณะนี้มอบหมายให้ สช. ดูข้อกฎหมายเพื่อเสนอเป็นมาตรการต่อกระทรวงการคลัง ว่าควรเก็บภาษีกับผู้ที่นำโรงเรียนเอกชนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ยังบอกอะไรไม่ได้มากต้องคิดหาทางแก้กันต่อไป” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว
ด้าน นายชลำ อรรถธรรม เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ในส่วนของ สช.ขณะนี้รอฟังคำวินิจฉัยของศาลปกครอง เนื่องจาก นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ให้ทนายเข้ายื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ ก.ล.ต. ระงับการขายหุ้น SISB ในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 260 ล้านหุ้น ซึ่งทราบว่าศาลปกครองนัดหมายให้คณะกรรมการ ก.ล.ต.เข้ามาชี้แจงในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่งต้องดูว่ามีประเด็นใดที่เกี่ยวข้องกับ สช.หรือไม่ ทั้งนี้ โรงเรียนเอกชนมีสถานะเป็นนิติบุคคล ซึ่ง บ.เอสไอเอสบีก็มีสถานะเป็นนิติบุคคล การเข้าสู่ตลาดหุ้นทำได้โดยไม่ขัดกับ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 แต่การบริหารงาน การจัดการทรัพย์สินต้องแยกกับของโรงเรียนเอกชนชัดเจน อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ถือเป็นเคสแรกทีเกิดขึ้น สช.จะมีการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบ เพื่อดูว่าอนาคตอาจจะต้องมีการกำหนดมาตรการ หรือแนวทางรองรับหรือไม่ เพราะเจตนารมณ์ที่สำคัญของการจัดการศึกษาต้องไม่แสวงหากำไรเกินควร