ที่ประชุม สนช.มีมติ 139 ต่อ 0 ผ่านร่างพ.ร.บ.แก้ไขประมวลรัษฎากร ให้สถาบันการเงิน ต้องรายงานธุรกรรม “ฝาก-โอน” เกิน 400 ครั้ง/ปี และรวมกันเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป ให้สรรพากรทราบ หวังเก็บภาษีขายสินค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. คนที่ 1 เป็นประธานการประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่…) พ.ศ…. วาระที่ 2 และ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการฯเสนอ
สาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลของบุคคลและนิติบุคคล ที่มีความเคลื่อนไหวทางบัญชีในการทำธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีเกิน 3,000 ครั้ง/ปี หรือการฝาก-รับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้ง และมียอดเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป/ปี ให้กรมสรรพากรตรวจสอบ เพื่อทำให้การเรียกเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าออนไลน์เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสนช. มีสนช.หลายคน เช่น นายวรพล โสคติยานุรักษ์ และนายตวง อันทะไชย เป็นต้น ทักท้วงว่าเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ขาดหลักเกณฑ์รายละเอียดที่ชัดเจน อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่ได้เป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ แต่มีธุรกรรมฝากหรือรับโอนเงินหลายครั้ง ซึ่งอาจเข้าข่ายถูกกรมสรรพากรตรวจสอบไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น สนช. ทั้ง 240 คน ซึ่งขณะนี้ได้รับเงินเดือน ค่าเบี้ยประชุม ผ่านการโอนเงินกว่า 200 ครั้งใน 1 ปี และบางครั้งมีการโอนเงินค่าทำบุญทอดกฐินฝากมายัง สนช.อีก ทำให้ สนช.ถูกกวาดมาอยู่ในระบบถูกตรวจสอบของกรมสรรพากร ทั้งๆที่กฎหมายต้องการตรวจสอบคนที่ไม่ยอมเสียภาษี จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯทบทวนในประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯ ยังคงยืนยันตามเนื้อหาเดิมที่เสนอมา จึงเกิดการถกเถียงกันและไม่ได้ข้อสรุป จนต้องต้องพักการประชุมกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อไปหารือนอกรอบให้ได้ข้อยุติ
ผลหารือนอกรอบสรุปว่า คณะกรรมาธิการฯ ยอมแก้ไขเนื้อหามาตรา 3 เรื่องการให้สถาบันการเงินรายงานการทำธุรกรรมฝากและรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้งต่อปี และมียอดรวมเงิน 2 ล้านบาทขึ้นไป ที่ต้องถูกรายงานให้กรมสรรพากรทราบ เป็นให้รายงานทำธุรกรรมฝากและรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้งต่อปี และมียอดรวมเงินคงเดิม คือ 2 ล้านบาทขึ้นไป ต้องรายงานให้กรมสรรพากรรับทราบ
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเข้าสู่การลงคะแนน ผลปรากฏว่า ที่ประชุมสนช. ผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 139 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง และงดออกเสียง 7 เสียง