นายบรรยง พงษ์พานิช อดีตคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้โพสต์ข้อความผ่าน
เฟซบุ๊กส่วนตัว Banyong Pongpanich โดยระบุว่า ประเทศไทย กลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกไปแล้ว โดยอ้างข้อมูลของ CS Global Wealth Report 2018 ที่ออกมาเมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงมากว่า ถ้านับในด้านความมั่งคั่ง (Wealth)แล้ว ไทย ที่ได้อันดับสามในการสำรวจเมื่อสองปีที่แล้ว แต่สามารถแซงทั้งรัสเซีย ทั้งอินเดีย ขึ้นป้ายอันดับหนึ่งได้อย่างค่อนข้างห่างด้วยซ้ำ
โดยเมื่อปี 2016 คนไทย 1% แรก(5 แสนคน) มีทรัพย์สินรวม 58.0% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ มาปี 2018 1% มีเพิ่มเป็น 66.9% แซงรัสเซียที่ลดจาก 78% เหลือแค่ 57.1% ตกไปเป็นที่สอง ขณะที่ตุรกี เศรษฐกิจไม่ดี แต่คนรวยกลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้เป็น 54.1% แซงอินเดียที่ตกไปเป็นที่สี่ จาก 58.4% เหลือแค่เพียง 51.5%
ซึ่งนอกจากสี่ประเทศนี้ ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้ว ที่คนรวย 1% มีเกินครึ่ง โดยประเทศที่ดีที่สุดคือเบลเยียม ที่ 1% มีแค่ 20.1% ตามด้วยออสเตรเลีย 22.4%
นอกจากนั้น หากดูตามข้อมูลจะพบว่า คนไทยที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0% และที่น่ากังวล คือ มันสะท้อนว่า คนครึ่งประเทศ เป็นพวก “หาเช้ากินค่ำ” หรือไม่ก็ “เดือนชนเดือน” ไม่มีเหลือเก็บเหลือออม แถมกำลังจะแก่ก่อนมีเงินออมซะอีกด้วย
รายงานนี้ยืนยันว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เราอาจจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน ทางการเมืองได้ดี แต่ถ้าไม่แก้เรื่องนี้ให้ได้ ก็สุ่มเสี่ยงว่า เสถียรภาพทางสังคม จะมีปัญหา ที่ยากที่จะกระจาย ก็เพราะว่ามันกระจุกแบบสุดๆ นี่แหละครับ
ใครคิดว่า “รัฐสวัสดิการ” จะช่วยได้ ก็ต้องระวังแหล่งที่มาของเงินที่จะเอามากระจายด้วยนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ (80%) เขาก็หาได้แทบไม่พออยู่แล้ว ครั้งจะเอาจากพวก 1% ก็ต้องฝ่ากระบวนการล็อบบี้อันทรงอิทธิพลของเหล่าเจ้าสัวให้ได้ และต้องระวังเขาหอบทรัพย์หนีออกนอกประเทศกันหมดด้วย บางคนบอกว่าเอาจากงบทหารแล้วกัน ทำอย่างนั้นก็เหมือนอยู่บ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ แล้วยังไม่ยอมจ่ายเงินซื้อประกันไฟอีก…มันเสี่ยงนะครับ”
ถามผมว่าอะไรคือคำตอบ …ผมก็ขอนำเสนอว่าให้ใช้หลักการ ทุนนิยมเสรีใหม่+รัฐ
สวัสดิการ(Neoliberalism+Welfare) นี่แหละครับ สร้างทั้งความเติบโต พร้อมกับการกระจายไปด้วยกัน สังคมนิยม (Socialism) พิสูจน์แล้วว่าไม่เวิร์ก Keynesian กับเศรษฐศาสตร์พัฒนาการที่นำโดยรัฐก็พาเรามาได้แค่นี้แล้วก็ติดกับมาเป็น 10 ปีอย่างที่เห็นน่ะครับ ถ้าดันทุรังกันแบบเดิมๆ แผนยุทธศาสตร์จะกลายเป็นแผนฉุดกระชากชาติไป
ขณะที่ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน (www.mallikafoundation.com) กล่าวว่า จากฐานข้อมูล CS Global Wealth Report 2018 ที่ออกมาเมื่อล่าสุด มีข้อมูลที่น่าสนใจและน่าห่วงคือ เศรษฐีของประเทศไทยยิ่งรวยขึ้นในรัฐบาลชุดนี้จากเดิมมีทรัพย์สิน 58.0% เพิ่มเป็นหก 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศกลายเป็นประเทศติดอันดับโลกในความเหลื่อมล้ำที่คนรวยเพียง 1% แต่กลับมีทรัพย์สินเกินครึ่งของคนทั้งประเทศ
ส่วนคนจนที่สุดจำนวน10% มีทรัพย์สิน 0% และเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนในการบริหารของรัฐบาลชุดนี้เช่นเดียวกันยังอยู่ที่อันดับ 3 แต่ตอนนี้ความเหลื่อมล้ำกลายเป็นอันดับ1 เราต้องตระหนักตรงนี้ไหม รัฐบาลนี้บริหาร บอกจะลดความเหลื่อมล้ำขจัดความยากจน แต่หลังจากทำโครงการประชารัฐ เอาเจ้าสัวมาร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับรัฐไม่กี่ปีเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนขนาดนี้
นางมัลลิกา กล่าวต่อว่า ขอให้รัฐบาลตระหนักถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการโจมตีแต่คือข้อเท็จจริงและความคิดเห็นของอดีตคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ นายบรรยง พงษ์พานิช ที่นำข้อมูลมาเปิดเผยเช่นเดียวกันก็เป็นความคิดเห็นที่น่าสนใจคิดว่ารัฐบาลควรเปิดกว้างรับฟังและแก้ไข มันเป็นสิ่งที่รัฐบาลทหารไม่เข้าใจไม่มีรายละเอียดและปล่อยให้เรื่องของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ในมือของนักธุรกิจเจ้าสัวไม่กี่คน ที่อ้างความฉายฉวยเฉพาะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน การส่งออก และทางความมั่นคงอย่างเดียว