ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลงกว่า 3% หลังนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้าสหรัฐ-จีน เดือดอีกรอบ หลังแคนาดาจับกุม CFO “หัวเว่ย”
เมื่อคืนวันจันทร์ (10 ธ.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงมากกว่า 3% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกอาจซบเซาลง หลังมีข้อมูลบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น การส่งออกจีนในเดือนพ.ย.ที่ขยายตัวต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้
ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่น ไตรมาส 3 หดตัวลง 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายจ่ายด้านการลงทุน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะหลังรมช.ต่างประเทศของจีน เรียกเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศจีน เข้าพบ เพื่อประท้วงการจับกุมประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ และรายงานภาวะตลาดน้ำมันรายเดือนของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ปิดที่ 51.00 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.61 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 3.1% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.พ. ปิดที่ 59.97 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.70 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 2.8%
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 60.07 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.80 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 3.08%
ด้านบมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11 ธ.ค. ว่า ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดปรับลงกว่า 3% หลังถูกกดดันจากตลาดหุ้นยุโรปที่ปิดในแดนลบ บนความกังวลต่อการถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (BREXIT)
รวมถึงแรงกดดันจากแนวโน้มอุปสงค์โลกที่คาดว่าจะอ่อนแอลงจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นางเธเรซา เมย์ นายกฯอังกฤษ ออกแถลงการณ์เลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง BREXIT ออกไปอย่างไม่มีกำหนด หลังมีกระแสต่อต้านจากชาวอังกฤษเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่าอังกฤษยังคงมีธุรกรรมที่ผูกติดกับสหภาพยุโรปอยู่มากที่ยังไม่สามารถเจรจาหาข้อตกลงได้หากเกิด BREXIT ขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมย์ กล่าวว่า อังกฤษจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีการถอนตัวโดยปราศจากข้อตกลง (No deal) เช่นเดียวกัน ซึ่งกรณีดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้หากครบกำหนดการพิจารณาถอนตัวในช่วงเดือน มี.ค.2562
ขณะที่จีนเผยตัวเลขนำเข้าและส่งออกในเดือน พ.ย.2561 เติบโตต่ำกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก สะท้อนผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยตัวเลขการส่งออกเติบโตเพียง 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับที่รอยเตอร์คาดว่าจะขยายตัวถึง 10% ในขณะที่ตัวเลขนำเข้าปรับเพิ่มขึ้น 9.8% ชะลอลงจาก 13.2% ในเดือนก่อนหน้า
บมจ.ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะเคลื่อนไหวในกรอบ 48-53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 57-62 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตามอง ได้แก่ การลดกำลังผลิตน้ำมันดิบของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านในเดือน พ.ย.2561 มีแนวโน้มปรับลดลง
และการที่แคนาดาประกาศให้ผู้ผลิตน้ำมันดิบลดกำลังการผลิตลง 8.7% หรือเท่ากับ 325,000 บาร์เรล/วัน จนกว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังแคนาดาจะลดลง และจะลดกำลังการผลิตอีก 95,000 บาร์เรล/วัน จนถึงเดือน ธ.ค.2562 เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันดิบตกต่ำ