ผู้ประกอบการทัวร์เกาะสิมิลัน-สุรินทร์เฮ! หลังศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ทุเลาการบังคับจำกัดนักนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะสิมิลัน 3 เดือนของกรมอุทยานแห่งชาติ ชี้นักท่องเที่ยวเพิ่มก็อาจมีหน่วยงานอื่น ๆ เข้ามาช่วยกรมอุทยานได้ ส่วนผู้ประกอบการจะรวบรวมหลักการหาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสม
จากกรณีที่ศาลปกครองภูเก็ต มีคำสั่งทุเลาการบังคับคดี ในคดีที่ นายนิพนธ์ สมเหมาะ แกนนำกลุ่มชมรมผู้ประกอบการทัวร์หมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์ ฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานฯ เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งของ นายธัญญา เฉพาะประกาศที่พิพาทฉบับแรกตามประกาศกรมอุทยานฯ เรื่องการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ลงวันที่ 9 ต.ค.2561 ตามคำขอของผู้ฟ้องคดี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 – 31 มีนาคม 2562 ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น และให้ยกคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ทุเลาการบังคับตามประกาศที่พิพาทฉบับที่สอง ตามประกาศกรมอุทยานฯ เรื่องกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับยานพาหนะประเภทเรือที่เข้าไปในเขตอุทยานฯ สิมิลัน ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2561 โดยศาลพิจารณาให้ทุเลาการบังคับตามประกาศที่พิพาททั้งสองฉบับ ไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งการให้ทุเลาบังคับตามประกาศที่พิพาททั้งสองฉบับไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ย่อมไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่สาธารณะแต่อย่างใด
นายนิพนธ์ กล่าวว่า พนักงานและชาวบ้านต้องขอขอบคุณศาลที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในตอนนี้ โดยมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2562 ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่นำไปชี้แจงต่อศาลเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดทุกด้าน ทั้งการทำงานวิจัย การมีส่วนร่วม การดูแลทรัพยากร หรือแม้แต่เรื่องการท่องเที่ยว ปัจจุบันการรท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศและของประชาชนตกต่ำอย่างมาก
“วันที่ศาลปกครองภูเก็ตไต่สวน ศาลก็ได้ถามว่า หากศาลคุ้มครองแล้วมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทางผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวจะทำอย่างไร ผมเรียนศาลว่า งานการท่องเที่ยวทางทะเลโดยเฉพาะเกาะสิมิลัน ปัจจุบันเป็นที่ได้รับความนิยมและมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การคมนาคมทางทะเลมีกรมเจ้าท่า การช่วยเหลือด้านความปลอดภัยในทะเลมีตำรวจน้ำ ในพื้นที่ที่นักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก การดูแลและตรวจสอบ อาจจะมีหน่วยงานอื่น เช่น กรมทรัพยากรทางทะเล หรือหน่วยงานราชการในท้องถิ่นเข้าไปช่วยอุทยาน ในกระบวนการท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับที่พอดี จัดการกับทรัพยากรได้ ทางผู้ประกอบการฯ จะรวบรวมหลักการจัดการเพื่อนำมาศึกษาและการปฏิบัติที่ชัดเจน” นายนิพนธ์กล่าว
แกนนำกลุ่มชมรมผู้ประกอบการทัวร์หมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่กรมอุทยานฯ จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองนั้น เป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิที่ทำได้ หากมีการอุทธรณ์จริงก็พร้อมเข้าไปชี้แจงต่อศาล และไม่ใช่เราไม่ดูแลทรัพยากร แต่เราจะใช้ทรัพยากรที่อยู่อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ใจความสำคัญที่ศาลพิจารณา ระบุว่า การให้ทุเลาการบังคับตามประกาศที่พิพาททั้งสองฉบับไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป จะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่สาธารณะหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอุทยานฯ หมู่เกาะสิมิลัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีการออกระเบียบกรมอุทยานฯ ว่าด้วยการเข้าไปในอุทยานฯ ปี 2552 รองรับอยู่แล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งระงับการกระทำที่จะทำให้เกิดความเสียหายในอุทยานฯ ได้ ทั้งนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนจากการให้ถ้อยคำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองว่า สำหรับช่วงที่นักท่องเที่ยวเข้าไปมากที่สุดคือ ในระหว่างกลางเดือน ม.ค.-สิ้นเดือน ก.พ.ของทุกปี เฉลี่ยวันละประมาณ 5,000 คน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวตามประกาศที่พิพาทฉบับแรก ประเภทไปกลับไม่เกิน 3,325 คน และดำน้ำลึกไม่เกิน 525 คน รวมเป็นจำนวนไม่เกิน 3,850 คน จึงเห็นได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดกับจำนวนนักท่องเที่ยวตามที่กำหนดในประกาศที่พิพาท มีจำนวนไม่แตกต่างกันมากจนเกินไป และไม่น่าจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารจัดการนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในอุทยานฯ สิมิลันในช่วงเวลาดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องร้องคดีทั้งสอง
ทั้งนี้ หากมีนักท่องเที่ยวเข้าไปจำนวนมากจนเกินขีดความสามารถที่อุทยานฯ สิมิลันจะรองรับได้แล้วจะทำให้นักท่องเที่ยวล้นเกาะและทรัพยากรเสื่อมโทรมลง และเกิดความไม่ประทับใจของนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองถูกตำหนิจากสังคมได้นั้น เห็นว่าโดยที่การท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอันดามันจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมค่อนข้างจำกัดในแต่ละปี และนักท่องเที่ยวรวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้เตรียมการและวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งผู้ถูกฟ้องร้องคดีทั้งสองย่อมทราบถึงสภาพดังกล่าวเป็นอย่างดี ผู้ถูกฟ้องร้องทั้งสองจึงชอบที่จะวางแผนเตรียมการเพื่อรองรับการสภาพการเช่นนี้ ทั้งยังเป็นการสอดคล้องกับพันธกิจของแผนการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอุทยานฯ สิมิลันที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมกับภาคเอกชน ภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้หลักการจัดการอุทยานฯ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และนโยบายของรัฐที่สนับสนุนและสิ่งเสริมการท่องเที่ยวอีกด้วย และเมื่อพิจารณาถึงอำนาจของหน้าของกรมอุทยานฯและอธิบดีกรมอุทยานฯ ที่ยังคงมีอยู่ และแนวทางบริหารจัดการการท่องเที่ยวอุทยานฯ สิมิลันโดยรวมแล้ว การให้ทุเลาบังคับตามประกาศที่พิพาททั้งสองฉบับไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ย่อมไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่สาธารณะแต่อย่างใด
ส่วนประกาศประกาศที่พิพาทฉบับที่สอง เรื่องการกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับยานพาหนะประเภทเรือที่เข้าไปในอุทยานฯ สิมิลัน ลงวันที่ 9 ต.ค. 2561 นั้น เห็นว่ามีเงื่อนไขที่เกิดขึ้นไม่ครบถ้วน เพราะประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2562 เป็นต้นไป ซึ่งการบังคับใช้จะอยู่ในช่วงการปิดการท่องเที่ยวอุทยานฯ สิมิลัน ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. 2562 ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่อาจประกอบกิจการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าวได้ จึงถือว่าประกาศที่พิพาทฉบับที่สองไม่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด จึงให้ยกคำร้องขอทุเลาการบังคับตามประกาศนี้
ขอบคุณภาพ : อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา