สถานการณ์ฝุ่นละอองในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้คนไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาที่ในบางพื้นที่เช่นภาคเหนือประสบอยู่เป็นประจำในช่วงฤดูหนาวแล้ง สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ปัญหานี้ก็เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2560 ถึงต้นปี 2561 จากนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลายไป จนกระทั่งช่วงปลายปี 2561 ถึงปัจจุบัน ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) เกินค่ามาตรฐาน (50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพได้กลับมารุนแรงและเกิดเป็นระยะเวลาที่นานและถี่ขึ้น
เมื่อประกอบกับกระแสโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate Change) ทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความสำคัญที่ต้องติดตาม และควรที่จะมีการประเมินผลกระทบในมิติต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยาก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในกรุงเทพฯและปริมณฑล อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ
1.ค่าเสียโอกาสจากประเด็นสุขภาพ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่สถานการณ์ฝุ่นละอองไปกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ และระบบทางเดินหายใจ จนต้องไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาพยาบาล รวมไปถึงเม็ดเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้บริโภคต้องซื้อหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อดูแลป้องกันสุขภาพ
จากข้อมูลสถิติพบว่า จำนวนผู้ป่วยในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เป็นโรคภูมิแพ้ และระบบทางเดินหายใจ มีไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน เทียบกับจำนวนประชากรในกรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งหมด 11 ล้านคน ขณะที่ จำนวนผู้ที่เจ็บป่วยจากปัญหาฝุ่นละอองนี้ อาจจะยังไม่สามารถประเมินได้อย่างแน่ชัด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินโดยใช้สมมติฐานว่า ประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง และมีค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพบแพทย์ และค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพการงานเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 1,000 บาท
ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับหน้ากากอนามัยนั้น เฉลี่ยขั้นต่ำที่ 22.5 บาท/วัน ในกรอบเวลา 7-30 วัน คำนวณจาก 40% ของจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ และ 10% ของจำนวนประชากรในปริมณฑล ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกันในเบื้องต้นคิดเป็นเม็ดเงินราว 1,600-3,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่สถานการณ์ฝุ่นละอองทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวจากเดิมที่มีแผนจะเดินทางมายังกรุงเทพฯ ไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นของไทย โดยในกรณีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศ แต่หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายในเวลาอันรวดเร็ว อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่สามารถปรับแผนการเดินทางได้ เปลี่ยนเส้นทางไปท่องเที่ยวในประเทศอื่นแทน
โดยประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคนต่อเดือน สร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง มูลค่าเฉลี่ยประมาณ 80,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวปรับเปลี่ยนแผนการเที่ยว ส่งผลให้เม็ดเงินค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.5-4.5% ของรายได้ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ประเมิน
ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ผลทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองในกรุงเทพฯและปริมณฑล จากค่าเสียโอกาสในประเด็นสุขภาพ และด้านการท่องเที่ยว ในเบื้องต้นอาจคิดเป็นเม็ดเงินอย่างน้อย 2,600 ล้านบาท โดยกรอบเวลาที่ใช้ในการคำนวณคือไม่เกิน 1 เดือนซึ่งเริ่มเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561
ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้น เป็นการประมาณการในเบื้องต้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ขนาดของผลกระทบทั้งหมดที่แท้จริง คงจะยังต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขด้านระยะเวลาและความรุนแรงของปัญหา รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาด้วย ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการดำเนินการเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติการฝนหลวง การควบคุมและตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ การฉีดพ่นละอองน้ำและล้างถนนเพื่อกำจัดฝุ่นละออง รวมถึงการหารือร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ดี ในระยะยาวแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การศึกษาเพื่อให้เข้าใจลักษณะของปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานว่าเกิดจากจากปัจจัยใดในน้ำหนักเท่าไร เช่น รถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ก่อสร้าง ผังเมือง หรือสภาพภูมิอากาศที่ปิด เป็นต้น เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเพื่อให้สามารถวางแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงประเด็น
ดังนั้น การจัดการกับปัญหาฝุ่นละอองสำหรับประเทศไทยให้ได้อย่างยั่งยืน คงจะเป็นโจทย์ท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งการศึกษาหาสาเหตุและการวางแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป