ป.ป.ช.โอดจำยอมตีตก “นาฬิกา” หรู ชี้ตปท.ไม่เปิดข้อมูล ยกไม่ใช่คดีอาญา-ทุจริต “สุภา” เสียงข้างน้อย เชื่อเดินหน้าสอบต่อได้
17 ม.ค.62- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในกิจกรรมที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดขึ้นเพื่อพบสื่อมวลชนระดับบรรณาธิการ มีบางช่วงที่บรรณาธิการสื่อหลายสำนักได้ซักถามคณะกรรมการ ป.ป.ช. ถึงสาเหตุในการตีตกคดีนาฬิกาหรู ที่มีการกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมนั้น
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า การตรวจสอบนาฬิกาหรูเริ่มต้นตรวจสอบว่า นาฬิกาดังกล่าวถูกขายผ่านตัวแทนจำหน่ายไทยหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบตัวแทนจำหน่ายในไทย 13-15 บริษัทไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ ส่วนกรมศุลกากรได้ตอบมาว่าไม่สามารถให้ข้อมูลเรื่องพวกนี้ได้ ทำให้ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบไปยังต่างประเทศ พบว่ามีอยู่ 4 ประเทศ ที่มีบริษัทผู้ผลิต ซึ่งป.ป.ช.ได้ใช้ระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบทรัพย์สิน โดยขอข้อมูลผ่านทางสถานทูตในต่างประเทศผ่านทางการทูต จากนั้นเมื่อสถานทูตทั้ง 4 ประเทศสอบถามกับบริษัทผู้ผลิตมี 3 บริษัท แต่กลับพบว่าไม่สามารถให้ข้อมูลได้ เนื่องจากไม่ใช่กรณีการทุจริต หรือขอให้ใช้วิธีการขอข้อมูลอย่างถูกต้องตามช่องทางกฎหมาย โดยใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญาฯ ซึ่งต้องดำเนินการผ่านอัยการสูงสุด (อสส.) แต่กรณีนี้ไม่ใช่คดีอาญาเกี่ยวกับการทุจริต จึงไม่สามารถใช้ช่องทางนี้ได้
“เมื่อบริษัทผู้ผลิต 4 แห่งตอบกลับมาแบบนี้ ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องวินิจฉัยอีกครั้งว่า เรื่องนี้สามารถใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญาฯ ได้หรือไม่ ทำให้กรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างมากวินิจฉัยว่า ไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าจะใช้ช่องทาง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญาฯจริง จะใช้เวลาเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 6 เดือน หรือ 1 ปี และคำตอบคงออกมาแบบเดิมว่า กรณีนี้ไม่ใช่คดีอาญาเกี่ยวกับการทุจริต ท้ายที่สุดเสียงข้างมากจึงวินิจฉัยตามพยานหลักฐานที่มีอยู่”นายวรวิทย์ ระบุ
ด้านนายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ประธานชั่วคราวในที่ประชุมวันลงมติคดีนาฬิกาหรู เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ได้ยอมรับว่า เป็นหนึ่งในเสียงข้างมาก ส่วนการพิจารณาเป็นเรื่องพยานหลักฐานที่ปรากฏกับบุคคลที่ให้การ ซึ่งทั้งหมดยืนยันว่าตัวนาฬิกาเป็นของผู้เสียชีวิต คือนายปัฐวาท ศรีสุขวงศ์ จนพบข้อเท็จจริงว่านายปัฐวาทชอบสะสมนาฬิกา และมีอุปนิสัยเอื้อเฟื้อให้เพื่อนฝูงหยิบยืม โดยจากการตรวจสอบบ้านแสดงให้เห็นถึงทุนทรัพย์นาฬิกาหรูมีถึง 137 เรือน โดยจำนวน 22 เรือนที่เป็นประเด็นรวมอยู่ในนี้ด้วย ทำให้ขั้นตอนพิสูจน์ที่มาของนาฬิกาหรูว่าใครเป็นผู้ครอบครอง กลายเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะต่างประเทศตอบกลับมาว่าไม่สามารถให้ข้อมูลได้ เพราะไม่ได้เป็นคดีอาญาที่เกี่ยวกับการทุจริต เมื่อไม่มีหลักฐานจากต่างประเทศ และข้อกฎหมายที่จะไปต่อได้ เสียงข้างมากจึงเห็นว่าควรหยุดเพียงเท่านี้ เพราะพยานหลักฐานไปต่อไม่ได้
“ส่วนการเปรียบเทียบกับกรณีการครอบครองรถโฟล์คตู้ของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจนเป็นที่ยุติแล้วว่า เงินและรถคันดังกล่าวเป็นของนายสุพจน์ นอกจากนี้ศาลฎีกายังพิพากษาในคดีแพ่งด้วยว่า นายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ เนื่องจากได้รับรถมาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จุดต่างคือ ลักษณะการครอบครองหรือได้มาต่างกัน เพราะกรณีรถโฟล์คตู้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสุพจน์ครอบครองต่อเนื่องระหว่างปี 2552-2554 จนกระทั่งถึงวันที่เกิดเหตุการณ์ปล้นบ้านและเงินที่จัดซื้อจัดหา ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนักธุรกิจที่ให้เงินไป พบว่านายสุพจน์ เป็นผู้เลือกรุ่น เลือกสีเอง โดยเฉพาะการครอบครองเป็นเวลาถึง 2 ปี 4 เดือน และเลขรถ ตรงกับเลขทะเบียนบ้านของนายสุพจน์ รวมถึงการบำรุงรักษาที่ใช้ประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่นำคำพิพากษามาเทียบกับกรณีนาฬิกาหรูพบว่าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน”นายปรีชา กล่าว
ขณะที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหนึ่งในเสียงข้างน้อย ชี้แจงว่า ขอให้เชื่อมั่นการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพราะกรรมการทั้งหมดมีความเห็นเป็นอิสระ และเคารพหลักเกณฑ์ ส่วนของตนในฐานะนักบัญชี และนางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. อีกรายที่เป็นเสียงข้างน้อยนั้นก็เป็นนักบัญชีเช่นกัน จึงเห็นตรงกันว่า ต้องไล่ไปสุดสายได้แค่ไหนก็จบแค่นั้น แต่ความรู้สึกของนักบัญชีคิดว่าไล่ต่อได้ ตามกระบวนการในมาตรา 138 และ 139 ในกฎหมาย ป.ป.ช. หากได้คำตอบจากหน่วยงานต่างประเทศ ผ่านทางอัยการแล้ว หากต่างประเทศบอกว่าไม่ให้ข้อมูลก็จบ แต่วันนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น จึงคิดว่าเอาให้สุดสายเลย ทำให้ประชาชนสิ้นสงสัยในการวินิจฉัย ถึงแม้จะช้า แต่สามารถชี้แจงได้ เพื่อพยายามพิสูจน์ว่านาฬิกาทั้งหมดเป็นของใคร ยืมจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ของคนที่ให้ยืมแล้วเป็นของใคร เพราะยังมีคำถามต่อไป
“ปัจจุบันก็ยังไม่รู้ว่านาฬิกาที่ครอบครองเป็นของผู้ที่ถูกอ้างหรือไม่ เพราะข้อมูลไม่สุดสาย แต่เป็นเรื่องของการชั่งน้ำหนักแต่ละกลุ่ม แล้วมีมติยอมรับ แต่ความเห็นวินิจฉัยส่วนตนก็ยังมี เพราะการใช้ดุลพินิจในทุกเรื่องต้องมีมาตรฐาน แต่เคารพความเห็นกรรมการท่านอื่นเช่นกัน ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของ ป.ป.ช.”น.ส.สุภา กล่าว
