ครม.เห็นชอบแผนพัฒนาโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ 1.06 แสนล้านบาท พร้อมอนุมัติงบกลาง 448 ล้านบาท ลงทุนโครงการระยะเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 22 ม.ค. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการผลการศึกษาความเหมาะสมและรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ จ.ชุมพร-ระนอง และพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช หรือโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor หรือ SEC) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ จะอยู่ภายใต้กรอบการพัฒนา4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก 2.การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามัน 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปการเกษตรมูลค่าสูง และ4.การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรม และการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ซึ่งประกอบด้วย 116 โครงการ กรอบวงเงิน 106,790 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี หรือปี 2562-2565
นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุมครม.ยังอนุมัติงบกลาง ปีงบ 2562 เพื่อดำเนินโครงการจำเป็นเร่งด่วน (Quick – win) รวม 5 โครงการ วงเงิน 448 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะพยาม จ.ระนอง วงเงิน 132.8 ล้านบาท 2.โครงการป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลก วงเงิน 88.5 ล้านบาท 3.โครงการสนับสนุนการแปรรูปสมุนไพรแบบครบวงจร จ.ชุมพร และสุราษฎร์ธานี วงเงิน 194.6 ล้านบาท
4.โครงเฝ้าระวังภาวะฉุกเฉิน เพื่อเตรียมความพร้อมในการสร้างความเข้มแข็งด้านบริการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ สู่ไทยแลนด์ 4.0 ของเทศบาลเมืองชุมพร วงเงิน 12.6 ล้านบาท และ5.โครงการศึกษาการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญการวิจัยเชิงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ของ จ.ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช วงเงิน 20 ล้านบาท ส่วนการดำเนินการโครงการที่เหลืออีก 111 โครงการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป
“การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ จะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5% ในช่วง 10 ปีแรก และจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านคน/ปี มีการลงทุนอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีแรก ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ต่างๆ จะลดเวลาการขนส่งสินค้าทางเรือจากไทย คือ ท่าเรือระนองไปยังท่าเรือเชนไนของอินเดียเหลือเพียง 4-7 วัน จากเดิมที่ต้องขนส่งผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งใช้เวลา 9-15 วัน”นายณัฐพรกล่าว