จากกรณี นายฮาคีม อัล อาไรบี นักฟุตบอลชาวบาห์เรน ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลออสเตรเลีย แต่ได้เข้ามาพำนักในประเทศไทย และถูกทางการไทยได้จับกุมตัววันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตามกฎหมายว่า ไทยจะส่งตัวนายฮาคีม กลับไปยังบาห์เรน ตามคำขอของรัฐบาลบาห์เรนหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสต่อต้าน และเรียกร้องไม่ให้ส่งตัวนายฮาคีม กลับบาร์เรน
กระทรวงการต่างประเทศ ออกคำแถลงเรื่อง นายฮาคีม อัล อาไรบี กับปัญหาระหว่างออสเตรเลียกับบาห์เรนดังนี้
1.ประเทศไทยไม่รู้จักนายฮาคีม ไม่มีอคติต่อตัวบุคคลและคงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการมาไทยจนถูกคุมตัวจับกุมของนายฮาคีม หากไม่ใช่ Interpol ของออสเตรเลียที่ได้แจ้งเตือนเรื่องหมายแดงของนายฮาคีม แต่แรก ซึ่งไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอน คือ ให้จับเพื่อส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และหากทางการบาห์เรนไม่ได้มีคำร้องขออย่าง เป็นทางการจากรัฐบาลให้จับกุมนายฮาคีมและส่งผู้ร้ายข้ามแดน
2. ทางการออสเตรเลีย ใช้เวลาหลายวัน หลังจากที่ นายฮาคีม เดินทางถึงไทยในการแจ้งการยกเลิกหมายแดง ซึ่งในขณะนั้น กระบวนการทางกฏหมายในไทยได้เริ่มขึ้นแล้วและไม่สามารถย้อนกลับได้
3. ขณะนี้เรื่องได้เข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว ในการเดินตามขั้นตอนของกฎหมาย ฝ่ายบริหารไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการได้ซึ่งเป็นหลักสากล และเชื่อว่าออสเตรเลียก็ยึดถือหลักการนี้เช่นเดียวกัน
4. ขออย่าได้ด่วนสรุปว่าไทยจะส่งตัวนายฮาคีม ให้กับบาห์เรน เรื่องนี้ศาลจะพิจารณาตามหลักฐานที่มีอยู่ซึ่งมีพื้นฐานจากหมายจับ/หมายศาลของบาห์เรน เมื่อเขาหนีความผิดตามกฎหมายของประเทศบาห์เรนมา และบาห์เรนได้ขอให้คุมตัวเมื่อมาไทย พร้อมกับส่งเอกสารหลักฐานทางกฎหมายให้ฝ่ายไทย พนักงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะส่งฟ้องต่อศาลได้ จึงดำเนินการต่อไปแล้ว
5. ขณะเดียวกันศาลไทยพร้อมรับหลักฐานทุกชิ้นทุกชนิดที่เป็นข้อเท็จจริง และเป็นธรรมต่อ นายฮาคีม ที่ทนายของนายฮาคีมจะนำส่งให้ศาลพิจารณา
6.ไม่มีส่วนใดของไทยที่จะได้ประโยชน์จากการควบคุมตัวนายฮาคีม แต่ในฐานะรัฐอธิปไตยที่มีพันธะทางกฎหมาย และความถูกต้องต่อสังคมโลก ไทยได้มาพบว่า เพื่อนที่ดีของไทย 2 ประเทศเกิดแย่งตัวบุคคลคือนายฮาคีม ที่มาประเทศไทย ในภาวะดังกล่าวไทยมีทางเดินอันชอบธรรมเพียงว่า (1) ให้ความร่วมมือทางด้านกฎหมายและ (2) เสนอแนะให้เพื่อนที่ดีทั้งสองนี้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันด้วย หันหน้าหารือ หาทางออกในปัญหาซึ่งเป็นของตนเองเสีย แทนการผลักดันหาทางออกทางอ้อมจากไทยซึ่งเผอิญจับพลัดจับผลูมาอยู่ในภาพของประเด็นปัญหานี้ซึ่งเพื่อน 2 ประเทศของไทยมีระหว่างกันมาแต่ก่อน
7. การขอให้ออสเตรเลียกับบาห์เรนคุยกัน หาทางออกร่วมกัน จึงเป็นท่าทีโดยชอบธรรมของไทย และไม่ว่าแนวทางออกร่วมกันดังกล่าวจะมาในรูปแบบใด ไทยก็ยินดีจะช่วยส่งเสริมให้เป็นจริงและบรรลุผลสัมฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย
8.ไทยหวังว่าทั้งออสเตรเลียและบาห์เรนจะมีมิตรไมตรีที่ดีเพียงพอที่จะร่วมกันหาทางออกของเรื่องนี้ด้วยความจริงใจ หากผลลัพธ์เป็นประโยชน์ด้วยกันเชื่อได้แน่นอนว่า คนไทยและผู้คนในภาคส่วนต่าง ๆ ของโลกที่รับรู้เรื่องนี้จะสรรเสริญทั้งออสเตรเลียและบาห์เรนอย่างแน่นอน