มอง “ไทยรักษาชาติ” ต่อลมหายใจสุดท้าย หนีตายยุบพรรค !
เป็นเวลาเกือบ 9 ปี 6 เดือน 16 วันที่พรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) ก่อตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เป็นลำดับที่ 11/2552 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2552 ในนาม “พรรครัฐไทย” โดยมี “เอกสิทธิ์ เจาฑานนท์” และ “ศิรเมศร์ เสถียรรุจิกานนท์” เป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรคคนแรก จากนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พรรคไทยรวมพลัง” เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2553 ก่อนมาเปลี่ยนเป็น “พรรคไทยรักษาชาติ” เมื่อ 7 ต.ค.2561 เพียงไม่กี่วันในการประชุมใหญ่พรรคไทยรักษาชาติ ครั้งที่ 1/2561 ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์
การประชุมใหญ่วันที่ 7 พ.ย. “ไทยรักษาชาติ” ได้เปิดตัวในกระดานการเมืองอย่างยิ่งใหญ่ โดยเปลี่ยนโฉมหน้ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ 14 คน มี ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช อดีต ส.ส.ข่อนแก่นหลายสมัย ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรค มี “มิตติ ติยะไพรัช” บุตรชาย “ยงยุทธ ติยะไพรัช” เป็นเลขาธิการพรรค พร้อมรีแบรนด์ความสำเร็จของพรรค “ไทยรักไทย” ยุครุ่งเรืองแทบจะทุกมิติทางการเมือง มาควบรวมคนรุ่นเก่าจากพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย รวมกับทายาทเครือข่ายใกล้ชิดในตระกูล “ชินวัตร” เปิดไพ่หน้าใหม่ในมือคนแดนไกลได้สำเร็จ
จากนั้นเพียงไม่นานกลายเป็นพรรคการเมืองที่ถูกแสงสปอตไลท์เฝ้ามองว่า จะเป็น “ไทยรักไทย” ภาค 2 เดินคู่ไปกับพรรคเครือข่ายกับพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ และพรรคประชาชาติ บนกลยุทธ์แยกกันเดินร่วมกันตี ตามช่องทางในรัฐธรรมนูญ 2560 พุ่งเป้าไปที่การต่อสู้กับฝ่ายกลุ่มก้อน “พลังประชารัฐ” ที่ประกาศชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นสู่บัญชีนายกฯ เต็มตัว ท่ามกลางข้อครหาสือทอดอำนาจ
แต่แล้ว 8 ก.พ.2562 ใครจะเชื่อว่า “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อข่าวลือที่แพร่สะพัดในช่วงข้ามคืน จะตอกย้ำกระแสข่าวที่ออกมาว่า พรรคไทยรักษาชาติ ยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นผู้ที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงชื่อเดียว จุดพลุปรากฏการณ์สำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในวันเดียวกันช่วงเวลา 22.40 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชโองการครั้งสำคัญ จนทำให้พรรคไทยรักษาชาติ ต้องออกแถลงการณ์น้อมรับพระราชโองการในวันถัดมา
กระแสการยุบพรรคไทยรักษาชาติเริ่มตามมาทันที เมื่อ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลืองตั้ง(กกต.) วันที่ 11 ก.พ.2561 ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ท่ามกลางการไม่ปรากฏตัวทางการเมืองของแกนนำพรรคหลายชีวิต มีเพียงภาพ ร.ท.ปรีชาพลไปทำบุญที่วัดดัง ใน จ.อยุธยาเท่านั้น ท่ามกลาง “แรงบีบ” การแสดงความรับผิดชอบของแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ มากกว่ามีแค่แถลงการณ์น้อมรับราชโองการออกมา จนกระทั่งช่วงบ่ายวันที่ 12 ก.พ. ร.ท.ปรีชาพล พร้อมแกนนำพรรคคนสำคัญได้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก โดยยืนยันว่าน้อมรับพระราชโองการไว้เหนือเกล้า ไม่กังวลที่ กกต.สอบยุบพรรค และพร้อมเดินหน้าสู้เลือกตั้งอีกครั้ง
ทว่าล่าสุดช่วงบ่ายวันที่ 13 ก.พ. กกต.มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ ภายหลังพิจารณาคำร้องที่ขอให้ตรวจสอบว่า การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเข้าข่าย ผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 ในข้อกล่าวหาหนัก “ปฏิปักษ์” ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยในช่วงบ่ายของวันที่ 14 ก.พ. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะเสนอคำร้อง ต่อที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่
ถึงเวลานี้แกนนำพรรคไทยรักษาชาติยังคงอยู่ในเซฟเฮาส์ย่านถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อกางข้อกฎหมายเตรียมต่อสู้ หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติ “รับ” คำร้องไปสู่การพิจารณายุบพรรค โดยเฉพาะข้อกฎหมายจาก กกต.ออกระเบียบการไต่สวน สืบสวน และวินิจฉัยชี้ขาด เมื่อ 28 ธ.ค.2561 ในประเด็น หาก กกต.เชื่อว่าคดีไหนมีมูลต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามาคัดค้านด้วย แต่เมื่อคดีอยู่ในกระบวนการผ่าน กกต.สู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ฝั่งไทยรักษาชาติจึงเร่ง “แก้เกม” ขอใช้สิทธิในฐานะพรรคการเมือง เพื่อขอรับทราบรายละเอียดข้อกล่าวหาตามที่กระบวนวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญกำหนด
ทั้งหมดจึงเป็นแรงเสียดทาน “ไทยรักษาชาติ” หนึ่งหมากทางการเมืองสำคัญในมือคนแดนไกล ซึ่งเป็นพรรคชี้วัดต่ออนาคตของพรรคเครือข่ายเข้าไปหยั่งเสียงในสภาเพื่อตั้งรัฐบาล ทว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเพียงข้ามวัน เมื่อทุกความเคลื่อนไหวทางการเมืองรอบด้าน ส่งแรงบีบมัด “ไทยรักษาชาติ” ให้ดิ้นไม่หลุด ในลมหายใจสุดท้ายสู่การยุบพรรค ก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค.ได้ทุกเมื่อ