กรมแพทย์แผนไทย จับมือ ม.เกษตรฯ-มทร.อีสาน เล็งพื้นที่ “สกลนคร” ปลูก กัญชา คาดเริ่มปลูกได้ในเดือนเมษายน เพื่อป้อนให้แพทย์แผนไทยนำไปใช้ในตำรับยา 16 ตำรับ ซึ่งที่ขอขึ้นทะเบียนไปชุดแรกจากทั้งหมด 90 ตำรับยาที่กัญชาเป็นส่วนประกอบ
นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวในงานเสวนา “กัญชา : โอกาส&ความท้าทายของประเทศไทย” ภายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 16 ว่า ตั้งแต่มี พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ. 2522 ประเทศไทยจับกัญชาไปขังคุกมาเกือบ 40 ปี เมื่อจะนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จึงต้องเก็บข้อมูลติดตามผลการใช้ยาจากกัญชา โดยตำรับยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชา กรมฯ ได้เสนอคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ 90 ตำรับ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกมี 16 ตำรับ มีสูตร ส่วนประกอบ วิธีการปรุง และผลการรักษาที่ชัดเจน เมื่อกฎหมายลูกเกี่ยวกับตำรับยาออกมาบังคับใช้ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้าน ที่ผ่านการขึ้นทะเบียน สามารถนำมาใช้ได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีการวิจัยทดลองอะไรอีก เพราะองค์การอนามัยโลกระบุชัดว่า ยาใดที่มีผลการใช้ในอดีตมายาวนาน มีบันทึกชัดเจน เป็นการแพทย์ดั้งเดิมสามารถเอามาใช้ได้เลย
“ยาทั้ง 16 ตำรับ ส่วนใหญ่มาจากการวิเคราะห์รสของยา สมุหฐานของโรค จะเป็นยาแก้ในทางกษัย ภาวะความเสื่อมของร่างกาย โดยกัญชาจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการปรับสมดุลร่างกาย แม้จะสามารถนำยาแผนไทยที่มีส่วนผสมของกัญชาทั้ง 16 ตำรับมาใช้ได้เลย แต่การใช้ต้องติดตามผล และพัฒนาต่อยอดรูปแบบการใช้ยาให้ง่ายและสะดวกขึ้น เพราะบางครั้งการกินยาตามกรรมวิธีดั้งเดิมกินยา เนื่องจากมีรสขมและกลิ่นเหม็น การเตรียมความพร้อมใช้ยาที่มีส่วนผสมกัญชาทั้ง 16 ตำรับนั้น กรมฯ จะมีการติดต่อกับเครือข่ายในการดำเนินการตั้งแต่ต้นน้ำ คือ ปลูกกัญชา ไปจนถึงปลายน้ำ คือ จำหน่ายยาไปยังแพทย์แผนไทยที่มีความประสงค์จะใช้
การปลูกกัญชามีข้อมูลว่า ลุ่มน้ำสงคราม คือ พื้นที่นครพนม สกลนคร มุกดาหาร เป็นแหล่งกัญชาคุณภาพ จึงจะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนคร และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตสกลนคร ซึ่งมีพื้นที่ถึง 1.4 พันไร่ในการปลูกกัญชา โดยใช้สายพันธุ์ไทย คือ สายพันธุ์หางกระรอก และประสานกับโรงพยาบาลในพื้นที่ คือ รพ.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน WHO GMP ในการผลิตยาสมุนไพร ให้เป็นผู้ผลิตยากัญชาทั้ง 16 ตำรับ และทำเป็นเครื่องยาที่มีกัญชาผสมด้วย ซึ่งจะมีการป้องกันไม่ให้นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ในอนาคตอาจจะผลิตเป็นน้ำมันกัญชา เพื่อเป็นเครื่องยากลางในการนำไปหยอดใช้ในตำรับยา”
ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวต่อไปว่า การปลูกและผลิตยากัญชาดังกล่าว จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำโครงการขออนุญาตไปยังคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ ซึ่งหากได้รับการอนุญาตคาดว่า ในช่วง เม.ย.นี้ก็สามารถปลูกได้ทันที โดยการปลูกใช้เวลาประมาณ 90-100 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วง ก.ค. โดยเบื้องต้นคาดว่า แพทย์แผนไทยจะใช้ประมาณ 2,000 กิโลกรัมต่อปี กับผู้ป่วยตำรับยาละประมาณ 1,000 ราย จะให้ ม.เกษตรฯ และ มทร.อีสาน แบ่งกันปลูกคนละครึ่ง ส่วนกรมฯ จะทำหน้าที่เป็นศูนย์รับจำหน่าย โดยในช่วงแรกจะมีการเก็บข้อมูลวิจัยไปด้วย ยาที่จะจำหน่ายนั้นจะไม่เก็บค่าใช้จ่ายหรือฟรี แต่หากถึงจุดที่ผลิตเพื่อจำหน่ายทั่วไปแล้วนั้น ก็คงจะคิดในราคาต้นทุน ซึ่งประเมินว่าไม่น่าแพงมาก
นพ.ขวัญชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเล็งพื้นที่เพชรบุรีไว้ว่าจะดำเนินการเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีการปลูกในพื้นที่แบบใต้ดินอยู่แล้ว และมีกัญชาคุณภาพสายพันธุ์แก่งกระจาน จะประสานสถาบันการศึกษาในพื้นที่และโรงพยาบาลที่ผ่านมาตรฐาน WHO GMP ในการปลูกและผลิตยาจากกัญชาเช่นกัน ซึ่งการปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์แผนไทย ต้องปลูกให้ได้ตามมาตรฐาน ปลอดภัย ไม่มีสารโลหะหนัก ไม่มีสารเคมี ยาฆ่าแมลง เพราะการใช้กัญชา ใช้ทุกส่วนทั้งช่อดอก ใบ ก้าน ต้น ราก ขึ้นอยู่กับตำรับว่าจะใช้ส่วนใด อีกทั้งใช้ไม่เยอะโดยสัดส่วนของกัญชาในตำรับยาไม่เกิน 10% ซึ่งในสูตรจะมีการเสริมฤทธิ์ ตัดฤทธิ์ ต้านฤทธิ์กันอยู่ คือเป็นภูมิปัญญาที่ผ่านการคิดค้นมาแล้ว ตรงนี้ถือเป็นจุดแข็งและจุดได้เปรียบที่ประเทศไทยจะต้องพัฒนามากกว่าการพัฒนายาแผนปัจจุบัน ทั้งนี้ การปลูกในพื้นที่สกลนครจะมีการศึกษาวิจัยเพื่อให้การปลูกได้ผลผลิตดีที่สุด ปลอดภัย ไม่มีการปนเปื้อนสารโลหะหนัก จะเป็นต้นแบบให้กลุ่มเกษตรกรที่ต้องการยื่นโครงการในการปลูกด้วย