ม.หอการค้า เผยแม้ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ ก.พ.จะขยับเป็น 48.5% แต่เศรษฐกิจยังเปราะบาง-เอกชนกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ชี้รัฐบาลใหม่-สงครามการค้าคลี่คลาย ช่วยดันเศรษฐกิจทั้งปีโต 3.8%
เมื่อวันที่ 19 มี.ค. นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนก.พ.2562 ว่า ดัชนีฯอยู่ที่ 48.5 เพิ่มขึ้นจากระดับ 48.0 ในเดือนม.ค. แม้จะดัชนีฯจะดีขึ้น แต่ต่ำกว่าเกณฑ์ 50 ซึ่งสะท้อนว่า เศรษฐกิจยังเปราะบางและไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน แม้ว่าจะมีเม็ดเงินจากการเลือกตั้งเข้ามาสนับสนุน ขณะที่เอกชนยังกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบสงครามการค้า
สำหรับปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อดัชนีฯ ได้แก่ การส่งออกเดือนม.ค.ปรับตัวลดลง ,ระดับราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น ,ความกังวลต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี ,ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและระดับราคาสินค้าที่ทรงตัวในระดับสูง ,ราคาสินค้าเกษตรส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดขยายตัวไม่มาก และความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
ส่วนปัจจัยบวกที่มีผลกระทบต่อดัชนีฯ ได้แก่ กิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะทางด้านการหาเสียง ,กนง.มีมติคงดอกเบี้ยที่ 1.75% ต่อปี โดยเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ,สศช.เปิดเผยเศรษฐกิจไทยปี 2561 ที่เติบโตได้ 4.1% และปี 2562 คาดว่าจะเติบโต 3.5-4.5% ค่ากลาง 4% ,นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น ,ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง 2 เดือน ,สงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้นำสหรัฐและจีนจะหารือกันเกี่ยวกับความตกลงทางการค้าในอีกไม่นานนี้ จะทำให้สงครามการค้าคลี่คลายและบรรยากาศการค้าโลกดีขึ้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยกลับมาเป็นบวก โดยศูนย์ฯคาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรกน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.5% อีกทั้งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยไม่มีการประท้วงหรือก่อความวุ่นวาย และรัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% และทั้งปีเติบโตที่ 3.8%
นายธนวรรธน์ ระบุว่า การประชุมกนง.วันพรุ่งนี้ (20 มี.ค.) คาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ต่อปีเท่าเดิม โดยมีปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 1% ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ที่ 1-4% 2.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกในภาวะปัจจุบันอาจไม่ใช่ขาขึ้น ต่างจากการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งสถานการณ์ดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นชัดเจน
3.เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกคาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3.5% เนื่องจากยังต้องรอดูความชัดเจนจากสงครามการค้า, กรณีอังกฤษขอถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง 4.นักธุรกิจยังต้องการให้เงินบาทอ่อนค่าที่ใกล้เคียง 32 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่หากกนง.ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เงินไหลเข้าและเงินบาทแข็งค่า และ5.ในช่วงใกล้การเลือกตั้ง กนง. มักจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย