“ฉัตรชัย” กำชับทุกหน่วยปฏิบัติตามแผนจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด มั่นใจ 5 เขื่อนใหญ่ ส่งน้ำ “น้ำกิน-น้ำใช้” เพียงพอถึงสิ้นเดือน พ.ค.นี้ พร้อมดึงน้ำก้นเขื่อน “อุบลรัตน์” มาใช้
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยนายฉัตรชัย สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนั้น ที่ประชุมรับทราบลักษณะอากาศในระยะ 3 เดือนข้างหน้า ว่า ประเทศไทยยังคงมีสภาพเป็นเอลนีโญ่อ่อนๆ และจะกลับลงมาสู่สภาพเป็นกลางในกลางปีนี้
“คาดว่าปริมาณฝนรวมในเดือนเม.ย.จะมีฝนมากกว่าเดือนมี.ค. แต่ยังมีพื้นที่มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และซีกตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ในเดือนพ.ค.คาดว่าประเทศไทยปริมาณฝนจะใกล้เคียงกับค่าปกติ แต่อาจยังมีฝนน้อยในภาคเหนือตอนล่าง ด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน”รายงานข่าวระบุ
สำหรับปริมาณน้ำใช้การได้ของเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่ง โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ยังเพียงพอจนถึงสิ้นสุดเดือนพ.ค. ยกเว้นเขื่อนอุบลรัตน์ที่จะมีการดึงน้ำก้นเขื่อน (Dead Storage) มาใช้ ตามแผนที่กำหนดไว้เดิมประมาณ 88 ล้าน ลบ.ม. เพื่อช่วยเรื่องน้ำอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก ซึ่งจะไม่กระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนในต้นฤดูฝน
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ที่ประชุมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัด อาทิ กรณีน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคนั้น จะมีการใช้มาตรจ่ายน้ำเป็นช่วงเวลา ลดแรงดัน สูบทอยน้ำเพื่อเก็บกักไว้ในแหล่งน้ำใกล้เคียง ทำฝายชั่วคราว และมีแผนซื้อน้ำจากเอกชน เป็นต้น
สำหรับกรณีน้ำเพื่อเกษตรกรรมนั้น กรมส่งเสริมการเกษตรสำรวจพบว่าใน 11 จังหวัด พื้นที่เกษตรรวม 151,552 ไร่ ได้มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชใช้น้ำน้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังรอบที่ 2 พบว่า ในเขตชลประทาน 32 จังหวัด ปลูกเกินแผน 1,186,336 ไร่ และนอกเขตชลประทาน 7 จังหวัด ปลูกเกินแผน 133,702 ไร่ รวมทั้งประเทศ 36 จังหวัด ปลูกเกินแผน 1,320,038 ไร่