นายประสาร มหาลี้ตระกูล อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวถึงสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติทั่วประเทศในวันสงกรานต์ (13 เม.ย. 2562) พุ่งสูงกว่า 3,455 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 3,454 คดี คิดเป็นร้อยละ 99.97 และคดีขับเสพ จำนวน 1 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.03
นอกจากนี้ศาลยังสั่งใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) ในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา จำนวนกว่า 165 ราย โดยส่วนใหญ่กำหนดเงื่อนไขห้ามออกจากที่พักอาศัย ตั้งแต่เวลา 22.00 – 04.00 นาฬิกา เป็นเวลา 7-15 วัน คุมความประพฤติ 1 ปี รายงานตัวจำนวน 4 ครั้ง พร้อมทั้งทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง สำหรับยอดสะสมสถิติคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติในช่วง 3 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด (11-13 เม.ย. 2562) มีจำนวนทั้งสิ้น 4,057 คดี
จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 3,899 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.11 คดีขับเสพ จำนวน 149 คดี คิดเป็นร้อยละ 3.67 คดีขับรถประมาท จำนวน 9 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.22จังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 337 คดี กรุงเทพมหานคร จำนวน 245 คดี และจังหวัดนครพนม จำนวน 211 คดี
อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวย้ำมาตรการเข้มสำหรับผู้ถูกคุมความประพฤติในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุราที่กระทำผิดซ้ำ หรือผู้ถูกคุมความประพฤติฐานความผิดขับรถขณะเมาสุรา เป็นเหตุให้ผู้อื่นเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิต ที่ศาลมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจว่า กรมคุมประพฤติจะตรวจสอบประวัติการกระทำผิดและทำการประเมินพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามแบบประเมินของกระทรวงสาธารณสุข แบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ต่ำ ปานกลาง และสูง
สำหรับระยะเวลาการบำบัดรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และความรุนแรงของอาการ ในตามปกติระยะเวลาการบำบัด คือ 3 เดือน โดย 1 เดือนแรกจะเป็นการบำบัดรักษา 1 ครั้ง/สัปดาห์ ในเดือนที่ 2-3 เป็นการติดตามพฤติกรรมการดื่มสุรา แต่หากมีปัญหาสุขภาพจิตควบคู่ด้วยจะมีการรักษาที่ใช้ระยะเวลา 4 เดือน ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน และหากเป็นระยะติดสุราเรื้อรัง การบำบัดจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน