ศาลปกครอง มีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับใช้ประกาศ “กกร.” กรณี “คุมค่ายา-เวชภัณฑ์-ค่ารักษาพยาบาล” หลัง 42 โรงพยาบาลเอกชน ร้องขอคุ้มครองชั่วคราว ชี้ กกร.มีอำนาจ-โรงพยาบาลเอกชนยังไม่เสียหาย
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2562 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟร.9/2562 ระหว่าง สมาคมโรงพยาบาลเอกชนที่ 1 กับพวกรวม 42 คน ผู้ฟ้องคดีคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี
โดยผู้ฟ้องคดีทั้ง 42 ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นสมาคม และโรงพยาบาลเอกชน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ี 1 ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ.2562 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม ลงวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2562 มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2562 เป็นต้นไป ถึงวันที่ 21 มกราคม 2563 หรือจนกว่าจะมีการออกประกาศฉบับใหม่
โดยประกาศดังกล่าวมีการกำหนดให้สินค้าตามประกาศเป็นสินค้าควบคุม และกำหนดให้บริการตามประกาศเป็นบริการควบคุม รวมทั้งได้ประกาศกำหนดให้ยารักษาโรคและเวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรคเป็นสินค้าควบคุม และประกาศกำหนดให้บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรคเป็นบริการควบคุม โดยเห็นว่าเป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพของประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค
ผู้ฟ้องคดีทั้ง 42 เห็นว่า เป็นการออกกฎที่ขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงฟ้องขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการดังกล่าว เฉพาะข้อ 3 (13) ยารักษาโรค (14) เวชภัณฑ์เกี่ยวกับการรักษาโรค และ (50) บริการรักษาพยาบาล บริการทางการแพทย์ และบริการอื่นของสถานพยาบาลเกี่ยวกับการรักษาโรค พร้อมทั้งมีคำขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษาให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คำขอของผู้ฟ้องคดทั้ง 42 เป็นคำขอทุเลาการบังคับตามกฎที่ออกโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งศาลจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการทุเลาการบังคับได้ เมื่อมีองค์ประกอบครบ 3 ประการ คือ ประการแรก กฎหรือคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนั้น น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ประการที่สอง การให้กฎหรือคำสั่งทางปกครองดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป ในระหว่างการพิจารณาคดีจะทำให้เกิดความเสยีหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
และประการที่สาม การทุเลาการบังคับตามกฎหรือคำสั่งทางปกครองในระหว่างการพิจารณาคดีไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่บริการสาธารณะ
เหตุคดีนี้เกิดจากมีข้อร้องเรียนในเรื่องราคายาและบริการทางการแพทย์มีราคาสูงเกินสมควร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการค้าภายในประเทศ จึงกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาหรือบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค เพื่อแก้ปัญหาราคายาและค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวให้เกิดความเป็นธรรมทุกฝ่าย และได้ออกประกาศดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ี 1 ตามมาตรา 9 และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2562
ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ออกประกาศพิพาทที่มีฐานะเป็นกฎไปโดยชอบด้วยอำนาจหน้าที่ และเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดแล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่ากฎดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกทั้งเห็นว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2562 หมวด 3 การกำหนดราคาสินค้าและบริการมีขั้นตอนตามมาตรา 24 ที่กำหนดให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มีอำนาจประกาศ กำหนดให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุมได้
และเมื่อประกาศแล้ว คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการยังคงมีหน้าที่ตามมาตรา 25 ในการกำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้า หลักเกณฑ์มาตรการอื่นๆ เกี่ยวกับการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งในขณะที่ผู้ฟ้องคดทั้ง 42 ฟ้องคดีนี้ อยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูลราคาสินค้าและบริการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังมิได้กำหนดมาตรการในรายละเอียดเรื่องราคาสินค้าหรือบริการดังกล่าวแต่อย่างใด จึงยังไม่มีมาตรการใดๆ มาบังคับกับผู้ฟ้องคดีทั้ง 42 ต้องปฏิบัติในการเรียกเก็บค่ายาและค่ารักษาพยาบาลจากผู้รับการรักษาพยาบาลในอัตราใด
จึงไม่อาจถือได้ว่า หากให้กฎพิพาทใช้บังคับต่อไปในระหว่างการพิจารณาคดีจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 42 จนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง กรณีคำขอทุเลาการบังคับตามกฎนี้ จึงเป็นคำขอที่ไม่ครบหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามกฎพิพาทตามคำขอของผู้ร้องคดีทั้ง 42 ได้
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งยกคำขอทุเลาการบังคับตามกฎของผู้ฟ้องคดีทั้ง 42