เข้าใกล้ความจริงไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว สำหรับ “เนื้อสัตว์ปลูก” เราไม่ต้องเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่ามาเป็นอาหาร แถมยังสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และไม่ต้องใช้เนื้อที่ในการเพาะเลี้ยง เหมือนการเลี้ยงสัตว์แบบเดิมอีกด้วย ซึ่งเราจะเรียกมันว่า “In Vitro Meat”
ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการผลิต โดยการนำเสต็มเซลล์ที่อยู่ในเนื้อสัตว์มาเพาะเลี้ยงให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และใส่ธาตุอาหารบางอย่างที่จำเป็นลงไปใช้สร้างไขมันและกล้ามเนื้อ เพื่อให้รสชาติและคุณค่าทางอาหารเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ของจริง กระบวนการทั้งหมดจะเกิดขึ้นในห้องแล็บอย่างเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเราจะประหยัดพื้นที่ในการเลี้ยงสัตว์ไปได้มาก โดยใช้พื้นที่แค่เพียง 1% เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิม และใช้น้ำเพียงแค่ 10 % แถมยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ 4% เท่านั้น
เริ่มแรกของการทดลองเนื้อสัตว์ปลูกนี้ยังมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อไร้สี ไร้รสชาติ และไม่มีไขมัน หรือพังผืดใด ๆ แทรกอยู่ภายในเนื้อเลยแม้แต่น้อย ต่อมาผู้วิจัยได้ทำการเติมสารไมโอโกลบิน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มสีแดงในเนื้อ และเริ่มปรับปรุงให้มีกลิ่น รสชาติคล้ายเนื้อมากที่สุด
ใช่ว่าเนื้อสัตว์ปลูกจะมีแต่ข้อดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ข้อเสียของมันคือราคาที่ค่อนข้างสูง เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นปีแรกของช่วงเริ่มต้นการทดลอง In Vitro Meat มีต้นทุนสูงถึงกิโลกรัมละ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 140 ล้านบาท แต่เมื่อทำการทดลองไปเรื่อย ๆ ราคาก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในปี 2015 เหลือเพียงกิโลกรัมละ 35 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,200 บาท จนมาถึงในปีนี้ (2018) ราคาลดลงเหลือเพียงกิโลกรัมละ 11 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 330 บาทเท่านั้น มีการคาดเดาว่าจะถูกลงไปอีกเรื่อย ๆ จนราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์ที่มาจากธรรมชาติ
ในตอนนี้มีการผลิตเบอร์เกอร์จากเนื้อ In Vitro Meat และมีการทดลองออกจำหน่ายในต่างประเทศ ไบรท์ออนไลน์เชื่อว่าอีกไม่นานประเทศไทยของเรา คงจะได้ลองชิมเนื้อสัตว์ปลูกกันอย่างแน่นอนค่ะ