เรียกว่าสร้างกระแสฮือฮาได้อีกครั้งกับการประกาศผลรางวัลมิชลินสตาร์ ปี 2019 โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้คือ เป็นปีแรกที่ผลรางวัลครอบคลุมพื้นที่ไปไกลถึง จังหวัดภูเก็ต และพังงา ไม่ใช่เฉพาะโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
ใครที่สงสัยว่า “มิชลินสตาร์” คืออะไร ใช่อันเดียวกับยางมิชลินหรือเปล่า ? แล้วรางวัลนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ดาวแต่ละดวงมีการแบ่งเกณฑ์ยังไงบ้าง ? เรามาหาคำตอบกันค่ะ
มิชลินสตาร์ คือรางวัลที่แสดงถึงมาตรฐานร้านอาหารที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม มีจุดเริ่มต้นจากไอเดียของบริษัทมิชลิน ผู้ผลิตยางรถยนต์ที่อยากให้คนขับรถออกไปกินข้าวนอกบ้าน จึงได้ริเริ่มการทำหนังสือ ‘The Michelin Guide’ ขึ้น เพื่อเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร โดยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1900 ในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาเริ่มมีการให้รางวัลมิชลินในเมืองหลวงและเมืองใหญ่อื่น ๆ ตามมา เช่น นิวยอร์ค, ชิคาโก, ซานฟรานซิสโก, ปารีส, ลอนดอน รวมถึงโซนเอเชียอย่างโตเกียว, ฮ่องกง และกรุงเทพฯ เป็นต้น
ในแต่ละร้านที่ได้รับรางวัลนั้นจะต้องประกอบไปด้วย คุณภาพ, เทคนิค, ลักษณะเฉพาะตัวของอาหาร, ความเสมอต้นเสมอปลายของรสชาติ, การตกแต่งอาหาร, การจัดโต๊ะอาหาร และการบริการ โดยจะแบ่งเป็นดาว 3 ระดับ ได้แก่
Michelin 1 Stars : Very Good Cuisine คือร้านที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่จำเป็นต้องไปกินก็ได้
Michelin 2 Stars : Excellent Cuisine Worth a Detour คือร้านอาหารยอดเยี่ยมขึ้นมาอีกระดับ เป็นร้านที่คุ้มค่าที่จะออกไปเสาะแสวงหาเพื่อจะได้กินร้านนี้
Michelin 3 Stars : Exceptional Cuisine Worth a Special Journey คือร้านอาหารขั้นเทพที่สุด ถึงแม้ว่าการเดินทางจะยากลำบากแค่ไหน ก็ควรจะต้องไปกิน เรียกได้ว่าควรไปกินให้ได้สักครั้งในชีวิต
ซึ่งกรรมการตัดสินจะมีหลากหลายอาชีพตระเวนชิมด้วยความเต็มใจ โดยทุกคนจะต้องถูกเทรนด์เรื่องมาตรฐานต่าง ๆ จากมิชลินโดยตรง และต้องไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองไม่ว่ากรณีใดก็แล้วแต่
ได้รู้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับรางวัลมิชลินสตาร์กันไปแล้ว ทีนี้เรากลับเข้ามาเรื่องผลรางวัลของประเทศไทยกันดีกว่า ซึ่งครั้งนี้มีร้านอาหารที่ได้รับรางวัล 2 ดาวมิชลินจำนวน 4 ร้าน ซึ่งยังคงเป็นร้านเดิมที่รักษามาตรฐานระดับดาวมิชลินไว้ ได้แก่ ร้าน Gaggan – เชฟ Gaggan Anand, Le Normandie – เชฟ Arnaud Dunand Sauthier, Mezzaluna – เชฟ Ryuki Kawasaki และ Sühring – เชฟ Thomas Sühring & เชฟ Mathias Sühring (ได้รับรางวัลหนึ่งดาวมิชลินเมื่อปีที่แล้ว)
และสำหรับร้านที่ได้ 1 ดาวมิชลินจำนวนทั้งหมด 23 ร้าน โดยปีนี้มีร้านอาหารมาใหม่มากถึง 8 ร้าน ได้แก่
- ร้าน Canvas – เชฟ Riley Sanders
เสน่ห์อย่างแรกของร้านนี้คงเป็นภาพวาด canvas ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องอาหาร และเมนูที่รังสรรค์จากไอเดียศิลปะของเชฟ Riley ที่เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นระดับพรีเมียม ประกอบกับใช้เทคนิคขั้นสูงจากหลากหลายแขนง นอกจากนี้ยังมีเมนูคอร์สที่ปรับเปลี่ยนไปตามฤดู และแรงบันดาลใจของเชฟที่มีรอให้คุณมาสัมผัส
ที่อยู่ : 113/9-10 ซอยสุขุมวิท 55
เวลาเปิด – ปิด : 18:00-22:00
โทร : 02–069–3067
- ร้านเมธาวลัย ศรแดง – เชฟ จิระวุฒิ ทรัพย์คีรี
ร้านเปิดมายาวนานกว่า 60 ปี มีเสน่ห์ที่วงดนตรีสดขับขานเพลงยุค 80 เฟอร์นิเจอร์ย้อนสมัย และภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประกอบกับอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่ใช้เทคนิคการปรุงอย่างประณีต รสชาติเข้มข้นถึงเครื่อง การตกแต่งจานมีความสวยงามและสม่ำเสมอ อาหารที่แนะนำคือ หมี่กรอบ, ยำตะไคร้ และแกงคั่วปูชะอมล้วน
ที่อยู่ : 78/2 ถนนราชดำเนินกลาง
เวลาเปิด – ปิด : 10:00-21:40
โทร : 02-224-3088
- ร้านPRU – เชฟ Jim Ophorst
ร้านอาหารที่มีวัตถุดิบเป็นของตัวเองทั้ง ผัก ผลไม้ ไข่ และอื่น ๆ ล้วนมาจากฟาร์มฟาร์มออแกนิคขนาด 600 ไร่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเนยที่ทำมาจากนมวัวโดยตรง นอกจากนี้ยังมีเชฟที่มีความพิถีพิถันและใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน ซึ่งมีเซตเมนูให้เลือกด้วยกัน 3 แบบคือ 4, 6 และ 8 คอร์ส
ที่อยู่ : โรงแรมตรีสรา ภูเก็ต
เวลาเปิด – ปิด : 18:00 – 22:30
โทร : 076-310-100
- ร้านR-Haan – เชฟ ชุมพล แจ้งไพร
แค่ชื่อก็บ่งบอกได้ถึงความอร่อยแล้วสำหรับร้านนี้ที่มีเชฟชุมพล (เชฟอาหารไทย ที่โด่งดังจากรายการเชฟกระทะเหล็ก) เป็นคนประกอบอาหาร คุณจะได้สัมผัสกับอาหารไทยพื้นบ้าน ไปจนถึงอาหารระดับชาววัง โดยเชฟได้ดึงรสชาติของวัตถุดิบต่าง ๆ ผ่านเทคนิคการปรุงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะหาใครเลียนแบบ
ที่อยู่ : 131 สุขุมวิท 53
เวลาเปิด – ปิด : 18:00 – 22:30
โทร : 02-059-0433
- ร้านสวรรค์ – เชฟ สุจิรา พงษ์มอญ
ร้านอาหารไทยที่ตกแต่งจานอาหารเป็นแบบร่วมสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติไทยแท้ ๆ เน้นใช้วัตถุดิบที่มาจากท้องถิ่น และสมุนไพรไทยจริง ๆ โดยจะเสิร์ฟเป็นแบบเซตเมนู 10 คอร์ส ในแต่ละเมนูจะถูกคิดขึ้นมาตามฤดูกาลของแหล่งวัตถุดิบ เรียกได้ว่าในแต่ละฤดูเราจะได้รับประทานอาหารที่แตกต่างกันออกไป
ที่อยู่ : 39/19 ซอยสวนพลู ถนนสาธร
เวลาเปิด – ปิด : 18:30 – 21:30
โทร : 02-679-3775
- ร้านศรณ์ – เชฟ ศุภักษร จงศิริ
ร้านอาหารใต้แท้ ๆ โดยใช้วัตถุดิบส่งตรงมาจากเกษตรกร และชาวประมง จึงมั่นใจเรื่องคุณภาพได้เลยว่าสดใหม่อย่างแน่นอน แถมมีวิธีการปรุงจากความรัก ความใส่ใจอย่างละเอียดทุกขั้นตอน จึงทำให้อาหารทุกจานออกมาน่ารับประทานไม่แพ้ร้านไหน
ที่อยู่ : 56 ซอยสุขุมวิท 26
เวลาเปิด – ปิด : อาหารกลางวัน: 12:00-12:30 / อาหารเย็น: 18:00-21:00
โทร : 099-081-1119
- ร้านเรือนปั้นหยา – เชฟ พรรณี กนิษฐนาคะ
แม้จะเป็นเพียงร้านอาหารเล็ก ๆ แต่ด้วยความอร่อย และคุณภาพของอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเลที่เจ้าของร้านจะไม่ยอมขาย ถ้าไม่ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานของทางร้าน จึงทำให้เป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ เมนูที่ห้ามพลาดเลยคือ หลนปูเนื้อ, กุ้งกุลาอบเกลือ ซึ่งเจ้าของร้านเป็นคนปรุงเองทุกเมนู
ที่อยู่ : 1300/600 ซอยเอกชัย 13
เวลาเปิด – ปิด : 11:00 – 20:00
โทร : 034-424-707
- ร้านสวนทิพย์ – เชฟ บานเย็น เรืองสันเทียะ
ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากจะมีบรรยากาศดี ๆ ให้เสพแล้ว ที่นี่ยังขึ้นชื่อเรื่องอาหารไทยโบราณอย่างแท้จริง ปรุงรสด้วยขั้นตอนที่แสนจะประณีตจากเชฟบานเย็น ประกอบกับการบริการที่อบอุ่น ยิ่งช่วยทำให้ร้านอาหารนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ การพักผ่อน และต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองกรุง
ที่อยู่ : 17/9 สุขาประชาสรรค์ 2 ซอย 76
เวลาเปิด – ปิด : 11:00 – 20:30
โทร : 02-583-3748
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารอีก 72 ร้านได้รับรางวัล BIB GOURMAND (ร้านโปรดของผู้ตรวจสอบมิชลินที่เสิร์ฟอาหารคุณภาพดีในราคาย่อมเยาคุ้มค่า) แบ่งเป็นร้านในกรุงเทพฯ จำนวน 35 ร้าน และเป็นร้านอาหารใหม่ที่เพิ่งได้รับรางวัลมีด้วยกัน 42 ร้าน
สำหรับใครที่อยากลองลิ้มชิมรสบรรดาอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลินว่ามีรสชาติอย่างไร และจะถูกปากมากแค่ไหนก็สามารถโทรจองได้ แต่ขอบอกก่อนเลยว่าบางร้านอาจจะต้องรอคิวนานหน่อย แต่ถ้าใครได้ลองชิมแล้วอย่าลืมมาบอกไบรท์ออนไลน์บ้างนะว่าร้านไหนเลิศ
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นอนเท่าไรก็ไม่พอ อาจเสี่ยงเป็นโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว