ดูเหมือนดราม่าจาก Colin Kaepernick จะยังไม่สิ้นสุด เพราะล่าสุดทางนักร้องสาวมากความสามารถอย่าง RiRi หรือ Rihanna ออกมาประกาศว่าจะไม่ไปแสดงพักครึ่งใน Super Bowl ของ NFL เหตุผลก็เพราะเธอสนับสนุนสิ่งที่ Colin ทำและก็ไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษที่ NFL ทำกับ Colin
ศิลปินกลุ่มต่อไปที่ถูกหมายตาเลยตกไปเป็นของ Maroon 5 ซึ่งเมื่อเหล่าแฟน ๆ รู้ข่าวก็ถึงกับออกมาตั้งแคมเปญใน Chang.org เรียกร้องให้ Maroon 5 ถอนตัวออกจากการแสดงในครั้งนี้เช่นกัน โดยชาวเน็ตที่ก่อตั้งแคมเปญนี้ให้เหตุผลของการร้องเรียนว่า ไม่ควรมีศิลปินคนไหนสมัครใจร่วมงานกับ NFL จนกว่าทาง NFL จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและสนับสนุนสิทธิในการประท้วงของนักกีฬาตามหลักรัฐธรรมนูญ ณ ตอนนี้มีผู้เข้าร่วมลงชื่อแล้ว 50,000 กว่าคน ซึ่งทางแคมเปญต้องการผู้สนับสนุนทั้งหมด 75,000 คน
ความจริงแล้ว Rihanna ไม่ใช่คนแรกที่ออกมาทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หนุ่ม Jay-Z ก็เคยออกมาปฏิเสธการแสดงในช่วงพักครึ่งของ Super Bowl ใน พ.ศ.2560 มาแล้ว ซึ่งใน พ.ศ.2561 Jay-Z ก็ได้ทำเพลง “Apesh*t” ออกมาซึ่งเพลงนี้เขาก็ได้ Queen B หรือ Beyoncé มาร่วมร้องด้วย
โดยมีท่อนหนึ่งในเพลงร้องว่า “I said no to the Super Bowl: you need me, I don’t need you. Every night we in the endzone, tell the NFL we in stadiums too,” (ฉันไม่ต้องการไป Super Bowl คุณต้องการฉัน แต่ฉันไม่ต้องการคุณ ทุกคืนพวกเราอยู่ในโซนด้านหลัง บอก NFL ด้วยว่าพวกเราก็อยู่ในสนามกีฬาด้วย) และในท่อนนี้ภาพของ MV ก็คือเหล่าผู้ชายผิวสีกำลังนั่งขุกเข่าอยู่นั่นเอง เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่า หนุ่ม Jay-Z ต้องการจะสื่ออะไรถึง NFL เข้าใจ
เราลองมาย้อนดูเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้นกับ Colin กันดีกว่า ว่าเพราะอะไรเขาถึงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการคุกเข่า แล้วผลรับที่เขาได้จากการกระทำนี้เป็นเช่นไรบ้าง
หากเอ่ยชื่อ Colin Kaepernick ควอเตอร์แบ็คจากทีม San Francisco 49rs ขึ้นมา หลายคนคงนึกถึงเรื่องดราม่าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และเรื่องที่เป็น Talk of the town จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างคงจะหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2559 ที่เขาคุกเข่า ไม่ยอมยืนตรงระหว่างที่เพลงชาติสหรัฐฯ กำลังบรรเลง พร้อมให้เหตุผลของการกระทำครั้งนี้เอาไว้ว่า
“ผมจะไม่ยืนขึ้น เพื่อแสดงความภาคภูมิใจต่อธงชาติของประเทศที่กดขี่คนผิวดำและคนเชื้อชาติอื่นๆ”
การกระทำของ Colin ที่ทำเช่นนี้เพื่อประท้วงต่อการใช้กำลังเกินเหตุของตำรวจที่วิสามัญฆาตกรรมคนแอฟริกัน-อเมริกันอย่างมีอคติ รวมถึงการเหยียดผิวอื่นๆ ทั้งหมดนั่นเอง
หลังจากนั้นเขาก็โดนทาง NFL (National Football League) ปลดให้เป็นตัวสำรองตั้งแต่กลางปี พ.ศ.2558 จากนั้นได้กลับมาเป็นตัวจริงเพียง 6 สัปดาห์เท่านั้น และพอการแข่งขันเสร็จสิ้นลงในปี พ.ศ.2559 เขาก็ไม่ได้ลงแข่งอีกเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งทางสโมรสรอื่น ๆ ก็ไม่กล้าว่าจ้างเขาเช่นกัน จากการกระทำครั้งนี้ทำให้ Colin ตกงานและอนาคตแทบดับไปเลย
แต่แล้วทาง Nike ก็ได้ดึงตัว Colin Kaepernick มาร่วมแคมเปญโฆษณา ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างมาก ถึงแคมเปญนี้จะได้รับการปฏิเสธจากบางรัฐในสหรัฐฯ ถึงขั้นปลดป้ายโฆษณาลง รวมถึงต่อต้านแบรนด์ Nike และมีการออกมาเผารองเท้าของ Nike เพื่อเป็นการประท้วง แต่กลับทำให้ยอดขายของ Nike พุ่งขึ้นสูงถึง 31% เรียกได้ว่าทำให้ NFL หน้าสั่นได้ไม่น้อย
นอกจากนั้นทางประธานาธิบดีของสหรัฐอย่าง Donald Trump ก็น้ำท่วมปากกับแคมเปญนี้ด้วยเช่นกัน เพราะ Nike ได้เช่าที่ในตึกของ Trump Tower ที่นิวยอกร์เอาไว้ แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเขาเลยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นอะไรได้อีก
ความจริงแล้วการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของนักกีฬาผิวสี (Black Power Salute) นั้นไม่ได้เริ่มขึ้นจาก Colin Kaepernick เป็นคนแรก แต่ย้อนไปเมื่อ 50 ปีก็มีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของนักกีฬาผิวสีเช่นกัน
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องราวดราม่าที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิวจะจบลงเมื่อไหร่ ทั้ง ๆ ที่มีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องเรื่องเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง แล้วเรื่องราวการต่อต้าน NFL ที่ทำกับ Colin ก็ยังไม่รู้ว่าจะจบลงเช่นไร เพราะความจริงแล้วมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ Colin เอาเป็นว่าถ้ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องการแสดงพักครึ่งใน Super Bowl รวมถึงเรื่องราวของ Colin ทาง ไบรท์ออนไลน์ จะรีบนำมารายงานให้ได้ทราบกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : FORTUNE, Change.org และ @VERSAILLES
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : จุดไฟเผาไนกี้…วิกฤตินี้จะ “มอดไหม้” หรือ “โชติช่วง”