เคยรู้สึกไหมว่าทำไมเราถึงควบคุมค่าใช้จ่ายของตัวเองไม่เคยได้ เห็นอะไรก็รู้สึกว่าอยากซื้อไปซะหมด หรือมักใช้คำว่า “ของมันต้องมี” เป็นเหตุผลหลักในการซื้อของเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดต่อตัวเอง วันนี้ ไบรท์ออนไลน์ มีหลักจิตวิทยา 5 ข้อที่อาจจะเป็นเหตุผลในการทำให้คุณหยุดใช้เงินไม่ได้มาบอกกันค่ะ
1.การให้รางวัลล่าช้า
คุณเคยรู้สึกจนต้องแวะซื้อของกินข้างทางทั้ง ๆ ที่มีอาหารดี ๆ รออยู่ที่บ้านบ้างไหม? หรือเคยดื่มจนเพลินแล้วรู้สึกปวดหัวในวันถัดมาบ้างรึเปล่า?
Carla Marie Manly นักจิตวิทยาจากซานตาโรซา แคลิฟอร์เนีย ได้ให้คำนิยามถึงพฤติกรรมการคิดแบบนี้ว่า “การให้รางวัลล่าช้า” ซึ่งการที่ซื้อของขวัญชิ้นเล็กให้ตัวเองแทนการได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่รอคอยนั้นถือเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าทดแทนกันได้
การให้รางวัลล่าช้านั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกถึงการติดค้างภายในใจ ดังนั้นการควบคุมแรงกระตุ้นที่ดีกว่าหรือความเต็มใจที่จะชะลอการทำให้พอใจนั้น ถือเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างผู้ที่ไม่ได้รู้สึกติดลบกับผู้กระทำ” Carla Marie Manly กล่าว
ผู้ที่เต็มใจหยุดพฤติกรรมที่เกิดขึ้นและพิจารณาความเสี่ยงของตน เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับจากการตัดสินใจซื้อของอะไรสักอย่างมักจะมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ดีกว่า
“ผู้ที่จ่ายแบบหุนหันพลันแล่นและไม่ยอมหยุดรอรับของขวัญในอนาคต จะถูกดึงเข้าสู่วงจรของการใช้จ่ายที่สูงขึ้น อาจจะไม่เหลือเงินในบัญชี หรือต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตเลยก็ได้” Carla Marie Manly อธิบาย
2.หลักการของความขาดแคลน
สำหรับ “หลักการความขาดแคลน” นั้นถือเป็นทฤษฎีทางเศรษฐกิจที่ใช้สำหรับตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทาน เมื่อนำมาใช้กับสาขาจิตวิทยาหลักการขาดแคลน จึงถูกระบุเอาไว้โดย Vassilis Dalakas ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานมาร์คอส ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาผู้บริโภคว่า “เมื่อสิ่งที่มีอยู่มีจำนวนน้อย ก็จะทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเมื่อต้องตัดสินใจใช้จ่าย มันอาจจะทำให้รู้สึกกดดัน และพร้อมจะซื้อของทุกอย่างได้ทุกเมื่ออย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันได้คิดว่ามันจะได้ใช้งานหรือไม่”
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ซื้อของออนไลน์ คุณมักจะเห็นข้อความต่าง ๆ ที่ถูกระบุเอาไว้ เช่น ข้อเสนอ จำนวนจำกัด หรือเวลา เป็นต้น บางครั้งอาจจะเป็นข้อความกระตุ้นความรู้สึก อย่างเช่น ซื้อเพียง 2 ชิ้นในราคา… โดยการใช้ข้อความแบบนี้อาจจะเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ แต่มันสามารถกระตุ้นให้คุณซื้อของเหล่านั้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“ส่วนใหญ่ผู้บริโภคมักจะให้เหตุผลว่าถ้าไม่รีบซื้อของชิ้นนั้น มันอาจจะพลาดหรือหายไปแล้วก็ได้” Vassilis Dalakas อธิบาย
3.ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับต้นทุนจม
ในทางเศรษฐศาสตร์ “ค่าใช้จ่ายจม” คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้ ยกตัวอย่างในแง่ของธุรกิจ ต้นทุนที่จมนั้นอาจจะรวมถึงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ซื้อมา เพราะเงินที่ใช้ไปนั้นไม่ได้รวมอยู่ในการตัดสินใจใช้จ่ายในอนาคต
ค่าใชจ่ายที่จมลงมักเกินขึ้นในชีวิตประจำวันได้เสมอ และบางครั้งมันน่าเสียดายมากที่คุณอาจจะตัดสินใจได้ไม่ดีเพียงเพราะพิจารณาแค่เงิน เวลา และความพยายามในอดีตเท่านั้น ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน นั่นก็คือ เรื่องการสมัครใช้งานฟิตเนส บางครั้งคุณสมัครฟิตเนสแล้วอาจจะได้ใช้งานเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แถมยังต้องจ่ายค่าสมาชิกในราคาที่สูงอีกด้วยในแต่ละเดือน แม้คุณจะไม่ได้เป็นคนที่ชอบเข้าฟิตเนส แต่คุณก็จำเป็นจะต้องจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนต่อไป เพราะเสียดายเงินที่จ่ายไปแล้วในแต่ละเดือน รวมถึงสิทธิ์ในการเป็นสมาชิกของฟิตเนสด้วย
ไม่ว่าจะเข้าฟิตเนสหรือไม่แต่เงินที่จ่ายไปแล้วคุณไม่มีวันได้กลับคืนมาอย่างแน่นอน ดังนั้นทำไมไม่ลองลดค้าใช้จ่ายตรงนี้ด้วยตัวคุณเอง เพียงแค่ยกเลิกการเป็นสมาชิกซะล่ะ?
อีกอย่างที่ดูเป็นการซื้อแบบไม่สมเหตุสมผลก็คือ การที่คุณออกไปเดินห้างสรรพสินค้าทั้งวัน แล้วจะต้องซื้ออะไรติดมือกลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้ต้องการมันเลย
4.การยึดติด
Vassilis Dalakas ศาสตราจารย์ด้านการตลาดที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานมาร์คอส ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาผู้บริโภคว่า อธิบายเอาไว้ว่า อีกหนึ่งหลักการทางจิตวิทยาที่ทำให้คุณรู้สึกติดลบนั่นก็คือ “การยึดติด” กับราคาสิ่งของที่กำลังจะตัดสินใจซื้อ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างของ 1 ชิ้นหากติดราคาเอาไว้ 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,200 บาท) แต่กลับมีป้ายลดราคาติดเอาไว้ว่าเหลือเพียง 50 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,600 บาท) คุณจะไม่สนใจราคาแรกที่เห็นเลย แต่กลับจะไปยึดติดกับราคาที่ลด จนทำให้รู้สึกว่าของสิ่งนั้นถูกและตัดสินใจซื้อกลับมาทั้งที่ความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องซื้อของชิ้นนี้เลยก็ได้ “สมองของคนเราจะทำหน้าทีคิดแค่ว่า ประหยัดเงินไปตั้ง 50 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,600 บาท) เพราะราคาเต็มคือ 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 3,200 บาท) เท่ากับเรายังมีเงินเหลืออีกตั้ง 50 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,600 บาท)” Vassilis Dalakas อธิบายเพิ่ม
5.การอำนวยความสะดวกทางสังคม
บางครั้งการอยู่กับคนอื่นอาจจะทำให้คุณสามารถตัดสินใจอะไรได้ดีขึ้นหรือผลักดันให้คุณทำสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า สิ่งนี้เรียกว่า “การช่วยเหลือทางสังคม” ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะทำงานเสร็จเร็วขึ้นเมื่อแข่งขันกับผู้ร่วมงานคนอืิ่น ๆ ไม่ใช่แข่งกับเวลา นอกจากนั้นการทำงานในที่ทำงานยังทำให้งานมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานที่บ้าน
แต่ในแง่ของการใช้จ่ายนั้นคุณอาจต้องเจอกับหลักการอำนวยความสะดวกทางสังคมก็เป็นได้ โดย “การประมูล” เป็นตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะเมื่อคุณอยู่ใกล้คนอื่น ๆ ที่กำลังประมูลของสักชิ้นหนึ่งอยู่ การประมูลจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากใช้จ่ายมากขึ้นยิ่งกว่าการอยู่คนเดียว ความคิดที่ว่าทุกคนกำลังแย่งชิงสิ่งของสิ่งเดียวกันอยู่นั้นเป็นตัวกระตุ้นความตื่นเต้นและสร้างการตื่นตัวทางจิตวิทยา นอกจากนั้นยังทำให้การตัดสินใจมีเหตุผลรุนแรงขึ้นอีกด้วย ในความเป็นจริงคุณไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประมูลเพื่อให้เกิดความสะดวกทางสังคมก็ได้ เพียงรู้จักตัดสินใจใช้เงินเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ อย่างมีเหตุผลได้ก็เพียงพอ
ดังนั้นถ้าต้องไปอยู่ในการประมูลหรือเห็นเพื่อน ๆ สนุกสนานกับการจับจ่ายซื้อของต่าง ๆ อยู่ เราขอให้คุณใช้เวลาสักพัก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยให้การเต้นของหัวใจเป็นจังหวะที่ช้าลง แล้วลองพิจารณาดูอีกสักครั้งว่าสิ่งของที่กำลังจะซื้อนั้นจำเป็นต่อตัวของคุณขนาดไหน มันจะต้องซื้อจริง ๆ ใช่หรือไม่ แล้วหากซื้อไปแล้วจะได้ใช้มันอย่างคุ้มกับเงินที่จ่ายไปรึเปล่า หรือเพียงแค่ซื้อเพราะความอยากได้และของมันต้องมี
ขอบคุณข้อมูลจาก : LIFE