ถ้าการไปชม ‘แสงเหนือ’ สักครั้งในชีวิตเป็นหนึ่งใน Bucket list ของคุณ … เรามีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายมาบอกค่ะ ขอเริ่มที่ข่าวร้ายก่อนแล้วกัน … นั่นคือปี 2019 นี้อาจไม่ใช่ปีที่คุณต้องการ เพราะปรากฏการณ์แสงเหนือจะมีความเข้มของแสงต่ำกว่าที่ผ่านมา แต่ข่าวดีก็คือนี่เป็นปีที่จะสามารถคาดเดาช่วงเวลาการเกิดปรากฏการณ์ได้ดี ดังนั้น หากวางแผนการเดินทางดีๆ คุณน่าจะ ‘ไม่พลาด’ ชมแสงเหนืออย่างแน่นอน
สาเหตุของข่าวร้ายที่เราพูดถึงนั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมปกติของดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเหตุผลของการเกิดปรากฏการณ์แสงเหนือค่ะ โดย ‘Rodney Viereck’ จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ได้อธิบายว่า วัฏจักรการหมุนของดวงอาทิตย์จะมีผลกับแสงเหนือประมาณ 11 ปี โดยจะมี 3-4 ปีที่ค่าพลังงานของแสงอาทิตย์สูงสุด (ความเข้มของแสงเหนือก็จะสูงตาม) แล้วจะเปลี่ยนไปสู่การผสมผสานความเข้มสูงและต่ำอีก 2 ปี จนสุดท้ายค่าพลังงานแสงอาทิตย์จะต่ำลงในช่วง 4 ปีที่เหลือ… แน่นอน ปี 2019 จัดอยู่ในช่วง 4 ปีหลังค่ะ
แต่ปี 2019 กลับเป็นปีที่ดีสำหรับการคาดการณ์ปรากฏการณ์แสงเหนือ เนื่องจากสามารถคาดเดาปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ซึ่งมีผลต่อ Aurora Borealis ได้ โดย Rodney Viereck บอกว่า การหมุนของดวงอาทิตย์ในปีนี้จะทำให้มีลมสุริยะความเร็วสูงเกิดขึ้นทุกๆ 27 วัน นั่นทำให้แทบจะระบุได้ว่า คุณจะได้พบกับแสงเหนือทุกๆ 27 วันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แสงเหนือจะเผยโฉมให้คุณเห็นก็เฉพาะทางเหนือตอนที่ท้องฟ้าสดใส แดดดี และคุณต้องมีความอดทนเท่านั้นนะคะ ซึ่ง 5 สถานที่ต่อไปนี้คือแหล่งสัมผัสแสงเหนือที่ดีที่สุดในปี 2019 ค่ะ
1. ไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์เป็นตัวเลือกชั้นยอดเพราะไม่เพียงทิวทัศน์อันมหัศจรรย์ของพื้นที่เท่านั้น แต่การไปถ่ายภาพแสงเหนือเหนือภูมิทัศน์ของภูเขาไฟและน้ำตกถือว่าเป็นการผจญภัยที่น่าสนใจและคุ้มค่า แค่คุณเช่ารถออกจากเมืองหลวง ‘Reykjavik’ มุ่งหน้าไปยัง Ring Road อันโด่งดังเพื่อเดินทางไกลไปพบกับท้องฟ้าแจ่มใสและวิวที่ไม่มีสิ่งใดมากีดขวางทางทิศเหนือ รับรองว่าไม่ผิดหวัง อ้อ… อย่าลืมแพ็ค Brennivín ไปสัก 1 ขวด เพื่อเฉลิมฉลองแสงเหนือที่คุณได้ไปสัมผัสนะคะ
2. ทางเหนือของนอร์เวย์ (Northern Norway)
ทุกที่ในสแกนดิเนเวียคุ้มค่ากับการไปสัมผัสแสงเหนือค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเหนือสุดของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งมีเหตุผลอันเหมาะสมที่คุณจะใช้โอกาสในการผจญภัย ทั้งการล่องเรือในแถบอาร์กติกของหมู่เกาะสวาลบาร์ด (Svalbard) ที่ไม่เพียงเยี่ยมชม ‘เมืองหลวงแห่งหมีขั้วโลก’ เท่านั้น แต่ฤดูกาลแห่งความมืดตลอด 24 ชั่วโมงในแต่ละปี ช่างเหมาะเหลือเกินสำหรับการล่าแสงออโรรา
3. Finnish Lapland ฟินแลนด์
สำหรับนักเดินทางผู้รักการผจญภัยกลางแจ้ง ฟินแลนด์เป็นจุดหมายปลายทางที่ควรค่าแก่การมาด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น 40 อุทยานแห่งชาติที่สวยงาม ประวัติศาสตร์การออกแบบที่น่าทึ่ง และที่นี่ยังถือเป็น ‘บ้านอย่างเป็นทางการ’ ของซานตาคลอสด้วย ดังนั้นขอให้มุ่งหน้าสู่ Finnish Lapland สถานที่ซึ่งมลภาวะทางแสงเกือบเป็นศูนย์ ท้องฟ้าแจ่มใส และมีโรงแรมใหม่ๆ หลายแห่งที่เหมาะจะเป็นฐานปฏิบัติการล่าแสงเหนือของคุณ
4. Ilulissat กรีนแลนด์
หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์ล่า Northern Lights ที่น่าจดจำ ขอแนะนำให้คุณพาตัวเองออกไปให้ไกลห่างจากทุกสิ่งแล้วมุ่งสู่ ‘กรีนแลนด์’ เกาะที่ใหญ่ที่สุดและมีคนอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก เกาะที่ไร้มลภาวะ ปราศจากมลพิษทางแสง และเป็นแหล่งอารยธรรมเล็กๆ โดยเมืองชายฝั่งตะวันตกอย่างอิลลูสซัต (Ilulissat) เป็นที่พำนักของประชากรเพียง 5,000 คน แต่ในแต่ละวันนักเดินทางจะได้พบกับกิจกรรมผจญภัยมากมาย ตั้งแต่ถ้ำน้ำแข็งไปจนถึงพายเรือคายัคในอาร์กติก และแน่นอนเมื่อความมืดเข้าปกคลุมที่นี่ก็เหมาะเหลือเกินกับการชมความมหัศจรรย์ของแสงเหนือ
5. Yukon แคนาดา
แน่นอนว่าการเห็นแสงเหนือแบบปกติจากระดับพื้นดินเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักเดินทาง แต่ถ้าบอกว่ามีอีกทางเลือกหนึ่งให้คุณได้ลองล่ะ? ถ้าจะบอกว่าคุณสามารถไปสัมผัสแสงเหนือที่เส้นของฟ้า (Eye-Level) ได้ล่ะ…จะว่าไง เป็นมิติใหม่ของการชมแสงเหนือในปี 2019 ค่ะเมื่อ Consulta Meta ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวของแคนาดากำลังเสนอการล่าออโรราที่ไม่เหมือนใคร โดยเปิดประสบการณ์แบบ 360 องศา ด้วยเที่ยวบินส่วนตัวที่ออกแบบมาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพียง 80 คน ให้ได้สัมผัสกับแสงเหนือด้วยการเช่าเหมาะลำเครื่อง 737 ออกจาก Yukon Territory แล้วไต่ระดับสู่ความสูง 36,000 ฟุตเหนือ Aurora Oval ซึ่งหากการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญถูกต้อง ผู้โดยสารจะสามารถมองเห็นแสงเหนือในระดับเหนือเมฆ
ชี้จุดมาแล้ว 5 แห่ง ก็อยู่ที่คุณแล้วค่ะว่าจะเลือกที่ไหนให้เป็น ‘สักครั้งของชีวิต’ แต่ไม่ว่าจะเลือกที่ไหนก็ขอให้ Have a nice trip นะคะ
ที่มา: www.themanual.com