รู้หรือไม่คะ ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ก้าวมาไกลมาก แต่ก็ยังเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะลักษณะเด่นบางอย่างที่มาจากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ยังคงตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์กับเราแล้วก็ตาม แต่การหลงเหลือจากวิวัฒนาการยังคงพบในมนุษย์เราอยู่
มีนักมานุษยวิทยาได้ทำการศึกษาด้านวิวัฒนาการ ระบุไว้ว่า “ร่างกายของเราก็คือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติดี ๆ นี่เอง” เพราะเราจะพบลักษณะการสืบสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลือในร่างกาย ถึงแม้ว่าลักษณะเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์กับเราแล้ว แต่ก็ยังพบในร่างกายได้ทั่วไป เพราะการวิวัฒนาการนั้นค่อยเป็นค่อยไป และไม่มีแรงกดดันจากธรรมชาติมากพอที่จะกำจัดลักษณะพวกนี้ให้หายไปอย่างถาวร
ประโยชน์ดั้งเดิมของลักษณะจำพวกนี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่สมมติฐานขึ้น โดยพิจารณาว่ามีความสำคัญต่อเรามากน้อยแค่ไหน จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือเปล่า ถึงขั้นเปรียบเทียบกับลักษณะการสืบสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกลุ่มไพรเมต และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เพื่อดูว่ายังปรากฏอยู่หรือไม่ และมีประโยชน์ในใช้งานอย่างไร
วันนี้ไบรท์ออนไลน์จะพาไปดูกันค่ะว่า ลักษณะหลงเหลือจากวิวัฒนาการทั้ง 6 อย่างที่ยังพบในมนุษย์นั้นมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. กล้ามเนื้อปาล์มาริส ลองกัส (Palmaris Longus)
How to เช็ค : เอานิ้วโป้งและนิ้วก้อยสัมผัสกันและงอข้อมือเล็กน้อย
สิ่งที่เห็นคล้ายเส้นเอ็นนูนขึ้นมาบริเวณข้อมือคือ “กล้ามเนื้อปาล์มาริส ลองกัส” สำหรับใครที่ไม่มีไม่ต้องตกใจไป เพราะราว 18% ของมนุษย์เราไม่มีกล้ามเนื้อชนิดนี้แล้ว และการไม่มีก็ไม่ใช่ความบกพร่องทางร่างกายแต่อย่างใด
กล้ามเนื้อส่วนนี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการหลงเหลือจากวิวัฒนาการ อาจจะมีประโยชน์ในการเคลื่อนไหวบนต้นไม้ เพราะมักพบในสัตว์กลุ่มไพรเมตที่อาศัยบนต้นไม้ เช่น ลิงอุรังอุตัง ที่แตกต่างจากสัตว์กลุ่มไพรเมตที่อาศัยตามพื้นดิน
ปัจจุบันกล้ามเนื้อนี้เป็นส่วนที่ศัลยแพทย์มักนำไปใช้ในการศัลยกรรมตกแต่ง เพราะเป็นกล้ามเนื้อที่ไม่สำคัญต่อการใช้มือของเรา
2. ตุ่มเล็ก ๆ บนใบหู ที่เรียกว่า ดาร์วินส์ ทูเบอร์เคิล (Darwin’s tubercle)
How to เช็ค : ตุ่ม/ติ่งเล็ก ๆ หรือกล้ามเนื้อมัดที่ 3 ที่ยื่นออกมาจากใบหูด้านบน
“หากคุณกระดิกหูได้ แปลว่าคุณกำลังโชว์วิวัฒนาการของคุณ” หมายถึงกล้ามเนื้อ 3 มัดที่อยู่ใต้หนังศีรษะซึ่งเชื่อมต่อกับหูของเรา ติ่งหรือตุ่มเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาจากใบหูด้านบนของเรานั่นเองค่ะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันบางคนก็สามารถกระดิกหูได้
ตุ่มนี้ถูกระบุถึงเป็นครั้งแรกโดย ชาลส์ ดาร์วิน บิดาด้านธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ทำให้มันถูกเรียกว่า Darwin’s tubercle หรือตุ่มของดาร์วินนั่นเอง
ยังไม่มีข้อมูลระบุว่าสิ่งนี้คือลักษณะที่หลงเหลือจากการวิวัฒนาการหรือไม่ แต่ในปัจจุบันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่อย่าง ม้า และแมว ยังคงใช้กล้ามเนื้อดังกล่าวในการขยับใบหู เพื่อช่วยในการตรวจจับเสียงของสัตว์นักล่า, หาตำแหน่งของลูก และระบุต้นตอของเสียงต่าง ๆ
3. กระดูกก้นกบ
How to เช็ค : ก็กระดูกก้นกบของเรานี่แหละค่า
บรรพบุรุษของเราเคยใช้กระดูกก้นกบในการทรงตัวและเคลื่อนไหวบนต้นไม้ เป็นเครื่องเตือนความจำที่หายไปของเรา เพราะมีประโยชน์กับเรา
กระดูกก้นกบเป็นกระดูกสันหลังข้อสุดท้ายของมนุษย์ เป็น “ลักษณะหลงเหลือจากวิวัฒนาการที่เด่นชัดกว่าส่วนอื่น” การสืบสายพันธุ์นี้เป็นการพัฒนาประโยชน์การใช้งานใหม่ขึ้น ในกระบวนการที่เรียกว่า “การเปลี่ยนหน้าที่ของโครงสร้าง (Exaptation)” ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และเอ็นกระดูกต่าง ๆ ในท้องน้อยแทน
4. เยื่อบุตา Plica Semilunaris หรือที่เรียกว่า “เปลือกตาที่สาม”
How to เช็ค : คุณเคยสังเกตเห็นติ่งเนื้อสีชมพูเล็ก ๆ ที่หัวตาไหม นั่นแหละเปลือกตาที่ 3
ถ้าคุณเคยสังเกตเห็นติ่งเนื้อสีชมพูเล็ก ๆ ที่อยู่บริเวณหัวตาของเรา สิ่งนี้แหละที่เรียกว่า “เปลือกตาที่ 3” มันคือเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่อยู่ระหว่างชั้นเปลือกตากับกระจกตาที่หลงเหลือมาจากวิวัฒนาการในอดีตของมนุษย์!
นักมานุษยวิทยาบอกว่า “เปลือกตาที่ 3 จะกระพริบในแนวนอน… แต่มันไม่เคยได้ทำงานเลยในตลอดชีวิตของมนุษย์เรา แต่ในปัจจุบันสัตว์ที่ยังใช้เนื้อเยื่อส่วนนี้มีแค่ นก และแมว
5. อาการขนลุกชูชัน (Piloerection Reflex)
How to เช็ค : ใครเคยเห็นแมวพองขนและมีอาการคล้ายกัน มันคือ Piloerection Reflex
ในอดีตบรรพบุรุษของเรามีชีวิตในฐานะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนปกคลุมร่างกาย ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบันค่ะ อาการขนลุกนั้นจึงเป็นปฏิกิริยาเก่าแก่ที่ตกทอดมา เพื่อทำให้เราดูตัวใหญ่กว่าความเป็นจริง หรือเพื่อช่วยให้ร่างกายรักษาความร้อนเอาไว้ในสภาพอากาศหนาวเย็น แต่เมื่อเราเริ่มมีขนน้อยลงปฏิกิริยานี้จึงไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่ได้ทำหน้าที่ดั้งเดิมตามธรรมชาติของมัน
สัตว์ที่ยังใช้อาการขนลุกชูชันไว้ข่มคู่ต่อสู่อยู่ที่เห็นได้ง่าย ก็คือ แมว เพื่อให้มันดูตัวใหญ่ เป็นอาการที่คล้ายกันกับคนที่ขนลุกเมื่อรู้สึกหนาวหรือหวาดกลัว ปฏิกิริยาสะท้อนกลับนี้เรียกว่า Piloerection Reflex
6. ปฏิกิริยาสะท้อนด้วยการกำมือ (Palmar Grasp Reflex)
How to เช็ค : การกำมือกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักเห็นได้จากเด็กทารกที่มักกำนิ้วมือไว้แน่น
จะเห็นได้ว่าแม่ลิงจะมีลูกน้อยเกาะอยู่ตลอด เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดนี้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเกาะขนของสัตว์ที่แก่กว่าในการไปไหนมาไหน ลูกลิงจึงใช้ปฏิกิริยาสะท้อนกลับนี้ในการเกาะพ่อแม่ของมัน
ปฏิกิริยาชนิดนี้ยังคงมีประโยชน์กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นอยู่ จากการที่เด็กทากรมักจะกำมือคนที่โตกว่านั้นเป็นเพราะการวิวัฒนาการที่ยังหลงเหลืออยู่ในมนุษย์ โดยนักมานุษยวิทยาตั้งสมมติฐานไว้ว่า ปฏิกิริยาสะท้อนด้วยการกำมือของคนเรามีจุดประสงค์เดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่เด็กทารกเกิดมาโดยยังไม่โตเต็มที่เหมือนลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น
อ่านถึงตรงนี้แล้วอย่าตกใจและคิดไปว่าเราผิดปกติหรืออย่างไรนะคะ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเราบกพร่องแต่อย่างใด บางอย่างอาจจะเป็นการวิวัฒนาการที่ดีที่ควรอยู่กับมนุษย์อย่างเราด้วยซ้ำ ส่วนใครมีข้อไหนบ้าง อย่าลืมบอกไบรท์ออนไลน์ด้วยนาจา
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ
6 สัญญาณคนอัจฉริยะ ย้ำ!ไม่ได้บ้าแค่อัจฉริยะ