“กฤษฎา” เตรียมชง ครม. เสนอขอรัฐของบก้อนโตช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายชดเชยสวนยางไร่ละ 1.8 พันล้าน สร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร
นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 4 พ.ย. จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา มติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ในโครงการบรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกรชาวสวนยางพารา จ่ายชดเชยไร่ละ 1.8 พันบาท ไม่เกินรายละ 15 ไร่ งบกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท โครงการรณรงค์สร้างถนน 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร ใช้งบสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 9.2 หมื่นล้านบาท และแบ่งเป็นงบซื้อน้ำยางจากเกษตรกร 1.6 หมื่นล้านบาท ดูดซับน้ำยางออกจากตลาด 1.4 ล้านตัน และโครงการส่งเสริมสถาบันเกษตรกร สหกรณ์ให้มีบทบาทรักษาเสถียรภาพราคายางพารา เป็นเงินสินเชื่อ 5 พันล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธ.ก.ส.)ให้สหกรณ์ กู้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.10 ไปรับซื้อน้ำยางจากเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางส่งออก และมาตรการช้อปช่วยชาติ ให้ประชาชนที่ซื้อล้อยางผลิตในประเทศ นำไปหักภาษีเงินได้ ภายในวันที่ 26 ธ.ค. นี้จะเริ่มจ่ายเงินให้เกษตรกร เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ชาวสวนยางทั่วประเทศ
นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า ส่วนโครงการทำถนนยางพาราทุกหมู่บ้าน เบื้องต้นประมาณ 7.5 หมื่นกิโลเมตร จะได้แบบสเปกจากกรมทางหลวง วันที่ 10 ธ.ค. เป็นแบบก่อสร้างถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา ซึ่งเป็นถนนดินลูกรังอัดแน่นผสมยางพาราและผงปูนซีเมนต์ ในแต่ละพื้นที่ซึ่งมีลักษณะดินแตกต่างกัน อัตราส่วนผสมจึงแตกต่างกันบ้าง ดังนั้นเมื่อได้แบบก่อสร้างและสูตรถนนสำหรับแต่ละชุดดินต้องเร่งประสานกรมบัญชีกลางกำหนดราคากลางตามแบบและสูตรที่กรมทางหลวงรับรอง นอกจากนี้ กยท. ยังจะจัดทำคู่การทำถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพาราที่เข้าใจง่ายแจกจ่ายไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกแห่ง โดยขณะนี้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและระยะทางของถนนที่แต่ละ อปท. จะสร้างซึ่งที่แสดงความประสงค์มา ยาวกว่า 1 กิโลเมตรทั้งสิ้น ซึ่ง กยท. จะได้นำมาคำนวณความต้องการในการใช้น้ำยางมาเป็นส่วนผสมและทำหน้าที่ส่งน้ำยางสดจากสถาบันเกษตรกรแก่ อปท. ถนน หากจังหวัดใดเกษตรกรไม่ได้ผลิตน้ำยางสดหรือน้ำยางสดในพื้นที่ไม่เพียงพอ ให้รับจากเกษตรกรในจังหวัดใกล้เคียงที่ใกล้ที่สุด เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง
“ขณะนี้หลายจังหวัดได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว โดยใช้งบประมาณของปี 2560 ได้แก่ อบจ. ปราจีนบุรี บึงกาฬ หนองบัวลำภู ขอนแก่น เป็นต้น โดยที่ขอนแก่นนั้น ปริมาณน้ำยางสดไม่เพียงพอ ได้รับซื้อจากเกษตรกรจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งจะใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินการในจังหวัดอื่นๆ ด้วย พร้อมส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ประสานกับกระทรวงการคลัง รณรงค์มาตรการใช้ช่วยชาติเพื่อให้ประชาชนซื้อผลิตภัณฑ์ที่มียางพาราเป็นวัตถุดิบ แล้วนำลดหย่อนภาษี” นายกฤษฎากล่าว
ทั้งนี้ ยังสั่งการให้ทูตเกษตรทุกประเทศเผยแพร่มาตรการเร่งด่วนให้ต่างประเทศรับทราบ ตลาดโลกจะเห็นถึงสต๊อกยางพาราที่จะลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สามารถกระตุ้นราคาซื้อขายล่วงหน้าให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลให้ราคาในประเทศปรับสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้มาตรการระยะยาวในการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราได้แก่ การลดพื้นที่ปลูกยางในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมลงร้อยละ 30 อีกทั้งสั่งการให้ กยท. ให้ศูนย์วิจัยยางพาราทุกแห่งและกรมวิชาการเกษตรเร่งวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ยางพารา มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาคุณภาพน้ำยาง ยกระดับศักยภาพเกษตรกรให้แข่งขันกับประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติอื่น ๆ ได้
พร้อมกันนี้จะเสนอครม. รับทราบการเพิ่มพื้นที่จังหวัดที่ร่วมโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา 4 จังหวัดได้แก่ มุกดาหาร เลย อำนาจเจริญ และยโสธร จากเดิมมีเข้าร่วมโครงการ 33 จังหวัด รวมเป็น 37 จังหวัด ทั้งนี้พื้นที่ที่ต้องดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษคือ จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งก่อนหน้านี้มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการมา 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร หนองคาย หนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี โดยเกษตรกรทำนา แต่ไม่เคยปลูกข้าวโพดสลับกับทำนาเหมือนในภาคอื่นๆ จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเข้าไปให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
ขณะนี้หลายจังหวัดเริ่มปลูกแล้วนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งปีนี้ได้รับความร่วมมือจากเอกชนอย่างดีทั้งสมาคมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ของไทยในการเป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกรและสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในโครงการ โดยให้ราคาตามกลไกตลาด รับประกันไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 8 บาท ที่ความชื้น 14.5 % ขณะนี้มีเกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วรวมพื้นที่กว่า 750,000 ไร่ มีเป้าหมายจะผลักดันให้ถึง 1 ล้านไร่ เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลพื้นที่เพิ่มพื้นที่ปลูกในปีหน้า