ประเด็นบ้านพักตุลาการ จะให้ยุติก่อสร้าง หรือ จะดำเนินการสร้างต่อ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งวันนี้ (20 เม.ย.) ทางฝ่ายรัฐบาลชัดเจนแล้วว่า จะไม่ใช้ มาตรา 44 ในการจัดการปํญหาดังกล่าว
ขณะที่ทางด้านเครือข่ายทวงคืนพื้นป่า เสนอใช้ พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ฯ ประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ยุติบ้านพักตุลาการ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับบ้านพักตุลาการ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่า ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเหมาะสม เพราะ การร้องเรียนก็สามารถทำได้ทุกเรื่อง แต่ก็ต้องไปพิจารณาว่า พื้นที่ดังกล่าว มีการก่อสร้างอาคารแล้วสามารถรื้อ หรือปลูกต้นไม้เพิ่ม หรือทำเป็นอุทยานได้หรือไม่ ทุกฝ่ายก็ต้องประชุมร่วมกันเพื่อหาทางออก ส่วนที่ประชาชนยืนยันว่าต้องรื้อบ้านพักเท่านั้น ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องว่าไปตามกระบวนการ แต่คงไม่ต้องใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหาโดย พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นส่วนตัว ว่า สมควรจะรื้อบ้านพักทั้ง 45 หลังหรือไม่ เนื่องจากก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จและมูลมีมูลค่าหลายล้านบาท โดยระบุว่า ส่วนราชการและภาคเอกชนต้องจัดประชุมร่วมกันและคิดให้ดี โดยคำนึงถึงกฎหมายบ้านเมือง จะผิดจะถูกยังไงก็ต้องพิจารณาการให้ดี
และในวันนี้คณะทำงานร่วม กับเครือข่ายกลุ่มคัดค้าน ได้ประชุมหารือร่วมกัน หลังจากที่สำนักงานศาลยุติธรรมไม่อนุญาตให้ตัวแทนเครือข่ายทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ และตัวแทนหน่วยงานราชการ เข้าพื้นที่สำรวจการก่อสร้างบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5
โดยที่ประชุม มีมติเสนอให้ประกาศพื้นที่โครงการก่อสร้างในแนวเขตป่าดั้งเดิมทั้งหมดให้เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพป่า ซึ่งจะนำข้อเสนอนี้ให้กับ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี ใช้อำนาจตาม ม.48 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ( ฉบับแก้ไข) พ.ศ.2561 ประกาศให้พื้นที่โครงการก่อสร้างเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม ให้ระงับทุกกิจกรรมในพื้นที่ดังกล่าว โดยใช้แนวเขตป่าดั้งเดิมเป็นเส้นกำหนดเขต
โดยเส้นแบ่งนี้จะทำให้ต้องรื้อถอนอาคารชุด 9 หลัง และ บ้านพักที่อยู่เหนือขึ้นไปทั้งหมด เหลือเพียงอาคารชุด 4 หลัง และ อาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งการใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมจะเป็นเครื่องมือและทางออกที่ไม่กระทบกับทุกฝ่าย ที่สำคัญยังเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมายที่ทุกฝ่ายเรียกร้องและต้องการหลังจากนั้นขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมส่งคืนพื้นที่ให้กับกรมธนารักษ์ เพื่อนำไปสู่การประกาศเพิ่มเติมเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาดูแลฟื้นฟูสภาพป่าในระยะยาว นอกจากนี้ยังขอให้รัฐบาลจัดสรรพื้นที่ใหม่และงบประมาณสำหรับการก่อสร้างบ้านพักแห่งใหม่ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับข้าราชการตุลาการที่จำเป็นต้องใช้บ้านพักอาศัย
โดยตัวแทนหน่วยราชการเห็นด้วยกับชุดความเห็นในการระงับและฟื้นฟู แต่ไม่ออกความเห็นเกี่ยวกับแนวเขตที่จะเสนอให้มีการรื้อถอน หรือ รายละเอียดในการรื้อถอน โดยให้เหตุผลถึงความรับผิดชอบทางกฏหมายในอนาคต