ผอ.โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา ชี้แจงกรณีทำคลอดเด็กเสียชีวิต ยืนยันพยาบาลดำเนินการตามขั้นตอน
จากกรณี นายธนัชพงศ์ ช้างครุฑ อายุ 16 ปี ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองกาญจนบุรี เพื่อขอให้มีการขุดศพของเด็กชาย สิรวิชญ์ ช้างครุฑ อายุ 2 วัน ซึ่งเป็นบุตรชาย
ขึ้นมาชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง หลังจากนายธนัชพงศ์ ได้พาภรรยาที่ตั้งท้องได้ 9 เดือนและรู้สึกเจ็บท้อง ไปโรงพยาบาล ก่อนที่ทางพยาบาลจะพาเข้าห้องคลอดและดำเนินการทำคลอด ซึ่งเด็กที่คลอดออกมาติดอยู่ที่ปากช่องคลอดเป็นเวลานาน จนทำให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในที่สุด
ล่าสุด นายแพทย์กิตติ อินทราสุขพร รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า หลังทราบเรื่อง ทางโรงพยาบาลได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับพยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบกรณีดังกล่าว และพบว่า นายธนัชพงศ์ได้พาภรรยาที่เจ็บท้องมาโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561เวลาประมาณ 02.35 น.
ซึ่งจากประวัติพบว่าภรรยานายธนัชพงศ์มีความเสี่ยงเรื่องโรคเบาหวานและได้รับการตรวจหาเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์3ครั้ง พบความผิดปกติ 1 ครั้ง ทางพยาบาลที่ทำการคลอดจึงต้องตรวจสอบอาการก่อนคลอดอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด โดยในระหว่างการคลอด พยาบาลที่ทำคลอดให้ข้อมูลว่า ผู้คลอดไม่ให้ความร่วมมือในการเบ่งคลอด ร้องและดิ้นตลอด เจ้าหน้าที่จึงต้องทำคลอดโดยการช่วยโน้มท้อง
กระทั่ง เวลาประมาณ 03.43 น. เด็กจึงคลอดออกมา เป็นทารกเพศชาย น้ำหนัก 2,770 กรัม และไม่สามารถหายใจเองได้ พยาบาลจึงประสานกุมารแพทย์มาใส่ท่อช่วยหายใจให้ ก่อนจะส่งตัวไปรักษาต่อที่แผนกผู้ป่วยหนัก ก่อนที่ทารกจะเสียชีวิต ในวันที่ 5 มกราคม 2561 เวลา 16.15 น. ด้วยภาวะปอดมีความผิดปกติ ความดันในปอดสูงและอีกหลายสาเหตุ
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบขั้นตอนปฏิบัติในการทำคลอดของพยาบาลพบว่าเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนที่สังคมตั้งคำถามว่า เมื่อเด็กติดอยู่ที่ปากช่องคลอดแล้วทำไมพยาบาล จึงไม่เปลี่ยนจากการคลอดปกติไปเป็นการผ่าคลอดนั้น ทางโรงพยาบาลขอชี้แจงว่า การกระทำดังกล่าวไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก ส่วนเรื่องการใช้คำพูดที่อาจจะไม่เหมาะสมนั้น ทางโรงพยาบาลจะได้ตรวจสอบกับพยาบาลที่ทำคลอดอีกครั้ง หากพบจริงก็จะมีการดำเนินการว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งหลังจากผลการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของเด็กออกมาแล้ว ทางโรงพยาบาลก็จะได้เชิญทางครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเด็กที่เสียชีวิตและขอยืนยันว่าทางโรงพยาบาลเองก็ไม่อยากให้เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้น