สภากาชาดไทย เผยโอกาสรับเชื้อ HIV จากโลหิตที่ได้รับบริจาค เกิดขึ้นได้น้อยมาก ย้ำระบบการรับ บริจาคโลหิตของสภากาชาดไทยมีมาตรฐาน
จากกรณีที่มีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจากการถ่ายเลือดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นาวาโทหญิงแพทย์หญิงอุบลวัณณ์ จรูญเรืองฤทธิ์ ผอ.ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา กรณีผู้ป่วยได้รับการบริจาคโลหิตแล้วตรวจพบภายหลังว่ามีการติดเชื้อ สามารถเกิดขึ้นได้น้อยมาก ในกระบวนการรับบริจาคเลือดของสภากาชาดไทย จะมีการประชาสัมพันธ์ มีแบบสอบถามเพื่อคัดกรองความเสี่ยง จากนั้นจะสัมภาษณ์เพื่อคัดกรองความเสี่ยงโดยเจ้าหน้าที่ เพื่อความมั่นใจว่าไม่อยู่ในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยง เมื่อสัมภาษณ์เสร็จจะดูพิจารณาประวัติ ว่าอนุญาตให้บริจาคโลหิตในวันนั้นได้หรือไม่ หากผ่านแล้วก็เข้าสู่กระบวนการเจาะเลือดและตรวจเลือด ซึ่งมี 2 วิธี คือ 1. ซีโรโลยี่ ด้วยน้ำยาที่มีความไวสูงสุด ซึ่งหากมีการติดเชื้อภูมิในร่างกาย จะสามารถหาร่องรอยต่อได้ว่ามีการติดเชื้อ และ 2. ตรวจด้วยวิธี Nucleic acid amplification test (NAT) ซึ่งจะเป็นการตรวจดูว่ามีสารพันธุ์กรรม ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ หลงเหลืออยู่ในกระแสเลือดมากน้อยแค่ไหน
สำหรับผลการตรวจจะมีการบันทึกและส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังจุดคัดโลหิตออก หากโลหิตติดเชื้อก็จะถูกคัดออก ส่วนโลหิตที่ดีก็จะพิมพ์ฉลากผ่านระบบคอมพิวเตอร์เข้าระบบพร้อมจ่าย ดังนั้นก็อยากจะให้ประชาชนมั่นใจในระบบการรับบริจาคเลือด
“ช่วงที่ติดเชื้อมาใหม่ เช่น มีเพศสัมพันธ์เมื่อวานนี้ แล้วมาบริจาคเลือด เชื้อที่มีในตัวยังน้อยจึงตรวจหาไม่พบ เพราะการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หากน้อยมากก็หาไม่เจอ ดังนั้นหากทราบว่ามีความเสี่ยง ก็ไม่ควรไปบริจาคเลือด ซึ่งในการตอบแบบสอบถามจะเป็นลักษณะขอความร่วมมือ เพราะฉะนั้นผู้ตรวจต้องตอบตามความเป็นจริง แต่หากตอบบ่ายเบี่ยง หรือใช้การบริจาคเลือดเพื่อต้องการตรวจหาว่าตัวเองติดเชื้ออะไรมากหรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นความเสี่ยง” ผอ.ศูนย์บริการโลหิตฯ กล่าว
