รายงานพิเศษ : ส่องรอยร้าว “ชทพ.” ฝ่ามรสุม “ศึกใน” ในวันไร้เงา “บิ๊กเติ้ง”
พลันที่ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” อดีตแกนนำพรรคชาติไทย โพสต์เฟซบุ๊คทิ้งทวนพรรคชาติไทยพัฒนา “ลาก่อน…… เพราะรักจึงต้องลา ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องมีวันนี้ บ้านที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง บ้านที่เป็นทั้งชีวิต วิญญาณ และลมหายใจ เมื่อรู้ว่าจะทำให้บ้านต้องมีปัญหา เพราะตัวเรา เราต้องเลือกรักษาบ้าน ยอมเสียสละ อวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต 32 ปีกับบ้านที่แสนอบอุ่น ลาก่อน เพราะรัก…จึงต้องลา จากสองเก้า ถึงหกหนึ่ง ซึ้งทุกรส ได้จารจด ความทรงจำ อันล้ำค่า มีวันนี้ เพราะมี “ศิลปอาชา” ดินกลบหน้า กี่ร้อยชาติ มิอาจลืม”
กลายเป็นสัญญาณส่งไปถึงวงในพรรคชาติพัฒนาทันที การโพสต์ทิ้งบอบม์ครั้งนี้ได้ตอกย้ำกับกระแสข่าวชนวนรอยร้าวภายในพรรคที่เริ่มปริแตกมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่กรณี “เสี่ยโต้ง” สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตว่าที่เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องหลั่งน้ำตาอาบแก้มย้ายไปซบภูมิใจไทย หลากร้อยคำถามจึง “พุ่งเป้า” ปัญหาจากกลุ่มก้อนในพรรคต่อความขัดแย้งที่ถูกสุมมาเป็นระยะ ทั้งที่พรรคชาติไทยพัฒนากำลังสยายปีกการเมือง ถึงขั้นไปดึงตระกูล “สะสมทรัพย์” ผ่านมือ “ดีลระดับพิเศษ” มาร่วมพรรคได้สำเร็จ
โดยเฉพาะการฉายภาพ “นิวบลัด” สายเลือดใหม่แห่งชาติไทยพัฒนา ตั้งแต่เสมอกัน เที่ยงธรรม , สิริพงษ์ อังคสกุลเกียรติ , ภราดร ปริศนานันทกุล , กรวีร์ ปริศนานันทกุล และวราวุธ ศิลปอาชา กำลังถูกแสงสปอร์ตไลท์จับจ้องไปที่ก้าวย่างทางการเมืองที่รออยู่ข้างหน้า
งานนี้ถึงแม้ “เสี่ยตือ” ยืนยันการประกาศยุติบทบาทไม่มีคำว่าลาออก เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยฯ แต่จากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง จะสุ่มเสี่ยงที่ชาติไทยฯถูกยุบพรรค การหันหลังครั้งนี้เพื่อตัด “เงื่อนไข” ความสุ่มเสี่ยงต่อพรรคทั้งสิ้นโดยเฉพาะผลการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาร่ำรวยผิดปกติ พร้อมยึดบ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง มูลค่าประมาณ 16 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2559 ทำให้ “เสี่ยตือ” ต้องจำยอมลดบทบาทต่อพรรคในที่สุด
“ผมก็วางมือกลับอ่างทองไปเลี้ยงหลาน ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นปัญหาของพรรค ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้พรรคต้องมีปัญหา กลัวพรรคจะเดือดร้อน เพราะเรามันแค่สิ่งชำรุดทางการเมืองจะไปทำอะไรได้”
ขณะเดียวกันยังทิ้งทวนไปถึงทายาททั้งสอง ตั้งแต่ “ภราดร-กรวีร์” อดีตส.ส.อ่างทอง ถึงอนาคตทางการเมือง เพราะการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชาติไทยฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. กลับไร้เงาลูกชายสมศักดิ์เดินทางมาร่วมประชุม จนมีกระแสข่าวล่าสุดว่าทั้งสองกำลังย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ “ภูมิใจไทย” โดยเตรียมเปิดตัว 16 พ.ย.นี้
ถึงแม้ “ภราดร” ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต แต่ยอมรับว่าสถานะตัวเองในพรรคมีความอึดอัด ตั้งแต่เปลี่ยนโครงสร้างการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมที่แกนนำคนรุ่นใหม่ภายในพรรค นำโดย “วราวุธ ศิลปะอาชา” และ “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” เคยประกาศจะสร้างพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมือง
“วันนี้ยังเป็นคนชาติไทยพัฒนา แต่พรุ่งนี้อาจเปลี่ยนแปลงไป การตัดสินใจของผมขึ้นอยู่กับการทำงานเป็นหลัก หากคิดแค่ว่าได้เป็นส.ส. เข้าไปสภาได้ยกมือโหวตก็ไม่ต้องย้ายไปไหน เพราะต้องการเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น โดยตั้งแต่มีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้หารือด้วย”ภราดร ระบุ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัญญาณแห่งความ “อึดอัด” จาก 3 พ่อลูกครั้งนี้สะเทือนไปถึงขั้วอำนาจภายในพรรคชาติไทยฯ กำลังถูกท้าทาย จนบีบไปถึง “กัญจนา ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคออกมาสยบความขัดแย้ง โดยเชื่อว่าการที่สมศักดิ์ต้องการตัดขาด เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจากกระแสยุบพรรคที่อาจเกิดขึ้น
หากย้อนดูชนวนความขัดแย้งนั้น เริ่มก่อตัวตั้งแต่มีการติดต่อวางชาติไทยฯ เป็นอีกหนึ่งพรรคพันธมิตร แต่ด้วยบทบาทของ “เสี่ยตือ” ยังไม่สามารถผลักดัน “ลูกชาย” เข้ามามีบทบาทมากว่าเป็นเพียง “ตัวประกอบ” ในสายตาแกนนำพรรคเท่านั้น บวกกับการ“เข้ามา” ของอดีตส.ส.เบอร์ใหญ่ ทำให้โครงสร้างบริหารพรรคย่อมถูกเปลี่ยนไปจากเดิม การตัดสินใจหอบครอบครัวย้ายสังกัดตลอดสัปดาห์ ได้กลับมาจุดกระแสช่วงที่ตลาดทางการเมืองยังเปิดกว้างอีกครั้ง
ใครจะเชื่อว่าจากบุคคลคู่ใจของ “บรรหาร ศิลปอาชา” เคยมีบทบาทนำชาติไทยฯเป็นรัฐบาล สร้างอัตราต่อรองชิงความได้เปรียบให้พรรคมาแล้วมากมาย แต่มาวันนี้เมื่อสถานการณ์ในพรรคถูกพัฒนาถึงขั้นเริ่มมองกันไม่ติด ทำให้ทุกย่างก้าวชาติไทยฯ ในยุคไร้เงา “บรรหาร” จากนี้ย่อมสั่นสะเทือนไปทั้งพรรคแน่นอน
